เที่ยวเกาหลีตอนที่ 3 : เอเวอร์แลนด์ ตลาดทงแดมุน บูลโกกิ

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

ต่อจาก เที่ยวเกาหลี ตอนสอง เราใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการเดินทางลงจากเขาอันเป็นที่ตั้งของวัด ก่อนที่เราจะไปตะลุยแอเวอร์แลนด์และตลาดทงแดมุนกัน ก่อนอื่นต้องแวะเติมพลัง ...

ซึ่งการเดินทางด้วยรถบัสมายังร้านนั้นสะดวกสบาย รวดเร็ว เนื่องจากถนนที่เกาหลีจะมี Bus line ตีเส้นด้วยสีฟ้าสำหรับให้รถทัวร์วิ่งโดยเฉพาะ เป็นการช่วยลดภาวะรถติดได้ทางหนึ่ง

ภาพนี้ไม่ใช่ภาพร้านอาหารนะคะ แต่เป็นภาพ Local มินิมาร์ทซึ่งตั้งอยู่บนแยกร้านอาหาร ดูคลาสิคดีแล้วคว้ากล้องขึ้นเช๊ะภาพ ... ท้องฟ้าขมุกขมัวคล้ายฝนจะตก ในใจก็ได้แต่ภาวนาอ้อนวอนเทพเจ้าขออย่าให้ฝนตกด้วยเถิด



                                                                                                                                                              
มื้อนี้ขอนำเสนอ Bulgogi หรือ บูลโกกิ หรือ หมูย่าง!!!

เนื่องจากทัวร์ได้ติดต่อกับร้านอาหารไว้แล้ว เมื่อมาถึงก็พบกับอาหารหน้าตาน่าทานแบบนี้รออยู่ ถ้าสังเกตจะเห็นว่าเนื้อหมูชิ้นใหญ่มาก ... หลังจากใช้ชีวิต 5 วัน 3 คืนที่เกาหลีเราก็ตรัสรู้ว่า อาหารเกาหลีมักจะเสิร์ฟเป็นชิ้นใหญ่ๆ(ดังที่จะได้เห็นในมื้อต่อๆไป)

ชิ้นใหญ่แบบนี้จะกินยังไงล่ะ? ขอมีดหั่นได้มั้ยคะ? งงอยู่สักพักก็ตรัสรู้อีกครั้งว่า เขาเสิร์ฟ "กรรไกร" มากับอาหารด้วยเพื่อใช้ในการตัดอาหาร ตอนแรกก็ยอมรับว่ารู้สึกแปลกๆ แต่พอหลังจากได้ใช้เจ้ากรรไกรตัดอาหารกินเกือบทุกมื้อ ก็เริ่มรู้สึกชอบขึ้นมา สะดวกมือใช้ง่าย จนอยากได้กรรไกรไปเสนอขายในทีวีไดเร็กที่ประเทศไทย



เพื่อมิให้เป็นการเสียเวลา เรามาทำความรู้จักกับ บูลโกกิกันค่ะ
บูลโกกิ คือเมนูเนื้อย่างสไตล์เกาหลี ซึ่งมื้อนี้ขอเราเป็น Pork Bulgogi เนื้อหมูย่าง เสิร์ฟพร้อมกับเครื่องเคียงแนะนำจากซ้ายไปขวา จากบนลงล่างดังนี้ ยำถั่วงอกเย็น - ซอสเต้าเจี๊ยว - กิมจิสูตรพิเศษของร้าน - สลัดกะหล่ำปลีเย็น - ผักกวางตุ้งคลุกงา และ มันฝรั่งต้ม เสิร์ฟพร้อมข้าวและซุปสาหร่าย(ใช่ค่ะ ถ้วยที่เหมือนใส่เฉาก๋วยบนสุดนั้นแล คือซุปสาหร่าย)

พอเนื้อหมูเริ่มสุกได้ที่ก็หยิบกรรไกรตัดๆๆ เนื้อหมูให้เป็นชิ้นเล็กพอคำ จิ้มซอสสูตรเด็ดแล้วเข้าปาก !!!ง่ำ!!!

เห็นธรรมดาๆแบบนี้ อยากจะบอกทุกท่านว่า "เนื้อหมูนุ่มม๊วก" เนื้อหวานฉ่ำ ชนิดที่ไม่ต้องจิ้มซอสใดๆก็อร่อยเหาะไปสวรรค์ มื้อนี้เราขอยกให้ 5 ดาวค่ะ!!! แซงหน้าความอร่อยของทัลคาบิและไส้กรอกบาบิคิวไปชนิดทิ้งไม่เห็นฝุ่น

ถ้าใครลองสังเกตซอสให้ดี จะเห็นว่ามันไม่ใช่ซอสเต้าเจียวเหมือนในรูปแรก แถมเจ้าซอสนี้มีเม็ดพริกปนอยู่ด้วย ... ขอบอกเลยว่าเจ้าซอสปริศนานี้อร่อย รสกลมกล่อมยิ่งกว่าซอสใดๆที่เคยกินมา ซึ่งเจ้าซอสนี้มีเสิร์ฟทุกร้านที่ไปกิน ... สุดท้ายก็เฉลยขอสงสัยในวันสุดท้ายก่อนกลับไทย ก่อนลุกจากโต๊ะอาหารมื้อสุดท้ายที่เกาหลี เราเห็นขวดซอสตั้งอยู่เลยสะกิดพี่ไกด์ว่า
> ของพี่หรือเปล่าคะ?
> ใช่แล้วค่ะ แต่ทิ้งมันไว้นั้นแหละ พี่ขี้เกียจเอากลับไทย
> หืม?
> บริษัททัวร์เขาให้ซอสนี้ติดมา พี่นึกว่าจะหมดก่อนกลับไทยซะอีก พี่ลืมให้ทุกคนกินในมื้อไก่ตุ๋นมันเลยเหลือ เสียดายน้ำจิ้มอร่อยด้วย

สรุปคือซอสปริศนารสชาติดีนี้ไม่ใช่ของอื่นใด แต่มาจากไทยแลนด์นี้เอง ก็ถึงว่าทำไมรู้สึกว่ามันอร่อยถูกปากกำลังจะชมแม่ครัวเกาหลีแล้วเชียวว่าปรุงซอสได้แซ่บอร่อยถูกใจ ... ต้องขอยอมรับเลยค่ะว่า ซอสนี้ช่วยชีวิตเรามาหลายมื้อแล้วเพราะ อาหารเกาหลีค่อนข้างจืด ส่วนมื้อไหนที่เผ็ดก็คือเผ็ดแหลมไม่มีรสอื่นตัดเลย มีแต่ซอสนี้แลที่ช่วยให้อาหารอูมามิมากขึ้น









                                                                                                                                                              
หลังจากทานอาหาร ซื้อของฝากเล็กน้อยที่ร้านแล้วออกเดินทางไป "เอเวอร์แลนด์"!!!

จากร้านอาหารไปไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงก็ถึงสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี ... จะสังเกตเห็นว่าระยะเวลาการเดินทางจากสถานที่หนึ่งไปอีกที่ค่อนข้างนานนั้นไม่ใช่เพราะรถติดแต่อย่างใด แต่เพราะสถานที่แต่ละที่ค่อนข้างห่างกันเลยต้องใช้เวลาเดินทางค่อนข้างเยอะ ซึ่งจะต่างกับวันที่เราได้ไปเยือนกรุงโซล ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 10 นาทีในการเยื่อนสถานที่ต่างๆ

เราคิดว่าทุกคนคงเคยเห็นภาพของสวนสนุกมานักต่อนักแล้ว เราจะไม่อธิบายอะไรมากแต่ขอบอกเลยว่า เอเวอร์แลนด์เป็นสวนสนุกที่สวยสุดยอด กว้างใหญ่ มีเครื่องเล่นเยอะมาก แต่เนื่องจากไปกับทัวร์เวลาจึงค่อนข้างจำกัด เที่ยวยังไม่ทันจุใจก็ต้องกลับแล้ว จึงสัญญากับตัวเองว่า(ถ้า)มีโอกาสได้ไปเกาหลีอีกครั้ง จะกลับไปเอเวอร์แลนด์อย่างแน่นอน!!! ขอเชิญพบกับภาพไฮไลท์ของการเดินเที่ยว 2 ชั่วโมงที่เอเวอร์แลนด์ได้ ณ บัดนี้

ทางบริเวณทางเข้าเอเวอร์แลนด์
ปล. ท้องฟ้าปอดโปร่งสดใสขึ้นแล้ว การสวดอ้อนวอนกับเทพเจ้าของเราได้ผล


                        ฮอลคอนเสิร์ต (ซ้าย)                    
ขณะนั่งเก้าอี้ลอยฟ้าข้ามฝากไปเยือนอีกฟากของสวนสนุก (ขวา)

เข้าชม Lost Valley
พบกับ หมีเล่นกายกรรม + เสือขาว +ไลเกอร์
(ไลเกอร์ตัวส้มคือ ลูกผสมระหว่างเสือและสิงโต : Tiger + Lion = Liger)

เดินมาเหนื่อยๆเลยแวะพักใจที่ร้านไอศกรีม
มื้อนี้จ่ายค่าพักใจไปสำหรับไอศกรีม mini melts
ลูกใหญ่รสผลไมั 3500 วอน + ลูกเล็กรสช็อคโก้กล้วยและเร
นโบว์ 2700 วอน
































ในเอเวอร์แลนด์หา"ถังขยะ"ยากมาก แต่น่าแปลกใจที่ถึงแม้ว่าถังขยะจะหายากเพียงใด แต่ก็ไม่เห็นขยะถูกทิ้งวางเรี่ยราดสักชิ้น ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมตกถึงพื้นปุ๊บจะมีอาจูม่าเดินมาเก็บปั๊บ สงสัยว่าเกาหลีใต้มีบุคคลากรในการทำความสะอาดคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของประชากรทั้งหมดค่ะ?

และแล้วก็ได้ค้นพบว่า คนเกาหลีส่วนใหญ่(ที่เจอ)ฟังเข้าใจอังกฤษ แต่เวลาพูดสำเนียงเข้าใจยากสุดๆกล่าวคือ ต้องใช้เวลาทำความเข้าใจกับการฟังการอธิบายรสชาติของไอศกรีมนานมาก สุดท้ายตัดปัญหาด้วยการบอกว่า "เอารสไหนก็ได้ที่คุณชอบ" จึงเป็นที่มาของไอศกรีมรสผลไม้ - เรนโบว์และช๊อคโก้กล้วย ... อร่อยดี ไม่ผิดหวัง ... หลังจากเดินเล่น ถ่ายรูป กินไอศกรีมเรียบร้อยก็กระโดดขึ้นรถบัสไปต่อโลด

                                                                                                                                                              
ตะลุยตลาดทงแดมุน!!!

หลังจากตะเวนเที่ยวรอบเมืองมานาน ตอนนี้ก็ได้เวลาเดินทางเข้าสู่กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลีใต้แล้วค่ะ แม้ว่าจะเป็นถึงเมืองหลวงของประเทศแต่รถกลับไม่ติด ต่างจากบางกอก ไทยแลนด์โดยสิ้นเชิง รสบัสทัวร์ของเราวิ่งช้าๆในช่อง Bus line พาคณะทัวร์ไปทิ้งไว้ที่ย่านการค้าชื่อดัง "ทงแดมุน"

กว่าจะถึงย่านการค้าแห่งนี้ ก็ล่วงเวลาไปประมาณ 5 โมงเย็น แต่ท้องฟ้ายังสว่างอยู่ช่างเหมาะกับการช้อปปิ้ง ...ยินดีต้อนรับสู่ย่านการค้าเกาหลีที่มีชื่อเล่นไทยๆว่า แพตตินั่มเกาหลี คร้า!!!

ภาพนี้คือตรงแยกหลักของทงแดมุน ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับหอประชุมแห่งชาติเกาหลี และขอเตือนทุกท่านว่า ณ แยกนี้เองคือโซนนิ่งสำหรับผู้สุบบุหรี่ ฉะนั้นผู้ใดที่ไม่สูบบุหรี่อย่าลืมสูดหายใจเอาอากาศบริสุทธิ์เข้าปอดเยอะๆก่อนที่จะเดินผ่านแยกนี้ สารภาพว่าตอนแรกหงุดหงิดมากที่ทำไมตรงนี้มีคนยืนสูบบุหรี่เยอะจัง แต่แล้วก็หันไปเห็นป้าย Smoking Area ก็เลยได้แต่ทำใจ ยืนอยู่ท่ามกลางหมอกควันเพื่อถ่ายรูปต่อไป

พี่ไกด์เจ้าเดิมเล่าให้ฟังว่า ตลาดนี้เป็นที่นิยม ฮิตฮอตของวัยรุ่นเกาหลีมากเนื่องจากสามารถหาซื้อเสื้อผ้าแฟชั่นราคาถูกได้ด้วยราคาเพียงตัวละ 10,000 วอน (ประมาณ 300 กว่าบาท)

พี่ไกด์ฐานะสะไภ้เกาหลี แกบอกว่าเนื่องจากเกาหลีมีพื้นที่ประเทศน้อย ผู้คนต้องอยู่ตามตึกสูง เนื้อที่บ้านคับแคบทำให้ที่เก็บเสื้อผ้ามีน้อย คนเกาหลีจึงมักจะซื้อเสื้อผ้าเพื่อ "ใส่แล้วทิ้ง" ทุกครั้งที่เปลี่ยนฤดูกาลพวกเขาจะทิ้งเสื้อผ้าที่ใส่ในฤดูก่อนแล้วซื้อเสื้อผ้าสำหรับฤดูใหม่ใส่แทน และนั้นเป็นที่มาของ...

หนึ่ง ทำไมคนเกาหลีถึงเป็นเจ้าแห่งแฟชั่น เนื่องจากพวกเขาต้องทิ้งเสื้อผ้าอยู่เสมอๆจึงมีโอกาสซื้อเสื้อผ้าใหม่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา

สอง จึงมีเสื้อผ้าจำนวนมากถูกส่งออกขายในฐานะเสื้อผ้ามือสอง(เช่นเดียวกับประเทศญี่ปุ่น)และนั้นคือเหตุผลที่ทำไมเราถึงเห็นร้านเสื้อผ้ามือสองจากเกาหลีมากมาย เพื่อเอาใจพวกเราคนไทยผู้ชอบบ้าหอบฟาง ชอบสะสมทรัพย์ ไปซื้อขยะของเขามาสวมใส่ ... ทำเป็นพูดดี ตอนนี้ในตู้เสื้อผ้าเราเองก็มีเสื้อผ้าราคาถูกจากเกาหลี ญี่ปุ่นเพียบเลยคร้า!!!

 เหตุผลที่เงินจำนวน 10,000 วอนสำหรับคนเกาหลีถือว่าถูกก็เป็นเพราะว่า ค่าครองชีพประเทศเกาหลีสูงกว่าประเทศไทยถึง 3.5 เท่า พวกเขาคงมองเงิน 10,000 วอนเหมือนแบงค์ร้อยไทยที่สมัยนี้หยิบจับอะไรขอแค่ให้ราคาอยู่ในโซนแบงค์แดงไม่กี่ใบก็ถือว่าถูก ควักไม่อั้น ... อยากจะบอกชาวเกาหลีใต้ทุกท่านให้ทราบว่า คำว่าเสื้อผ้าราคาถูกของไทยแลนด์คือ 199 ค่ะประมาณ 5,000 วอนเท่านั้น !!!Amazing Thailand!!! มั้ยล่ะโคเรีย

                                                                                                                                                              
เดินไปได้ไม่เท่าไร เรดาร์แสกนของถูก ก็ร้อง ติ๊ดดด!! 

ผ่านร้านขายหมวกข้างทางแห่งหนึ่ง ตอนแรกก็ไม่ได้สนใจเพราะร้านขายหมวกที่เดินผ่านๆมา หมวกแก๊ปแฟชั่นจะสนนราคาอยู่ที่ประมาณ 15,000-25,000 วอนแต่ขณะที่กำลังจะเดินผ่านร้านนี้ไป เรดาร์ของเราก็ร้องดังขึ้นเรื่อยๆจนต้องกลับหันไปมองป้ายร้าน

W 15,000 SALE W 5,000 ตีราคาเป็นเงินไทยก็จากประมาณ 470 บาทเหลือประมาณ 170-180 กว่าบาท ... กรี๊ดด!!! เมืองไทยหมวกแฟชั่นแบบนี้อย่างน้อยราคาก็ต้อง 200 บาทขึ้นไป เลยสอยมาสามใบ ฝากเพื่อนสองให้ตัวเองหนึ่ง แต่พอกลับไทยแล้วเพิ่งมานึกเสียดาย รู้งี้น่าจะซื้อมาเยอะๆกว่านี้เพราะนอกจากจะได้ใส่หมวกราคาถูกแล้วยังสามารถมาขายต่อสักใบละ 400-600 บาทตามเฟสบุ๊ค ไอจี กำไรบานเจ้าค่ะ (มิได้กล่าวหา หรือพาดพิงถึงร้านรวงใดๆนะคะ) ถ้าให้กล่าวถึงความประทับใจของทริปนี้ ขอยกให้เรื่องหมวกถูกเป็นเรื่องหนึ่งที่เราประทับใจเลยค่ะ ได้ของฝากกลับไทยกิ๊บเก๋ไม่ซ้ำใคร

ภาพที่ถ่ายยืนยันกับเพื่อนว่า ชื้อหมวกฝากพวกเธอจากเกาหลีจริงๆนะ
ขออภัยที่ภาพเล็กไปนิด : อาคารสีเทาด้านหลังที่ประดับด้วยธงชาติคือ หอประชุมแห่งชาติเกาหลี
                                                                                                                                                              
รับ น้ำส้มคั้นสดๆมั้ยค่ะ?
ขณะที่กำลังเดินคอแห้ง ก็เหมือนฟ้ามาโปรดได้เจอกับร้านขายน้ำผลไม้ไม่รอช้ารีบตรงดิ่งเข้าชาร์ต สั่งเร็วพลัน วัน-ออเรนจูซ-พลีส



ส้มผลโต + เครื่องคั้นน้ำผลไม้สด หน้าตาน่าทานไม่ใช่เล่นเลยใช่มั้ยค่ะ หลังจากสั่งแล้วจึงเหลือบมองป้ายราคา ... 4,000 วอนเจ้าค่ะ ก็ประมาณ 120 กว่าบาท !!! หืม? ใช่แล้วค่ะ น้ำส้มคั้นสดในถุงขนาดประมาณฝ่ามือถุงนี้ราคาร้อยกว่าบาท

เอ๊ะ แบบนี้เขาเรียกว่าค้ากำไรเกินควรหรือเปล่า? แต่พอลองมองไปรอบๆร้าน ก็พบแตงโมผ่าสามเหลี่ยมชิ้นโง่ๆเล็กๆวางขาย ซึ่งในแก้วนั้นมีแตงโมอยู่ประมาณ 4-5 ชิ้นเบียดๆกันอยู่พร้อมป้ายราคา 3,000 วอนก็ประมาณ 90 บาท ซึ่งสามารถหาซื้อกินในไทยได้ในราคาถุงละ 10-20 บาทด้วยจำนวนชิ้นที่เยอะกว่าหลายเท่า

จากนั้นก็เริ่มเข้าใจสัจธรรมว่า เกาหลีเป็นประเทศเกาะ นอกจากผลไม้ขึ้นชื่อของเกาหลีอย่างลูกพลับแล้วผลไม้ชนิดอื่นคงปลูกขึ้นยาก ดังนั้นเมื่อ Demand สูง Supply ต่ำ ผลไม้มีย่อมราคาแพงเป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจดังนี้แล้วก็เอื้อมมือรับน้ำส้มราคา 120 บาทมาดูดด้วยความขมขื่น เอ๊ย สดชื่น ... จริงๆนะคะ น้ำส้มคั้นเขาอร่อยจริง ไม่รู้ว่าราคาอันสูงลิ่วเป็นตัวช่วยชูรสหรือไม่ แต่ประทับใจเจ้าน้ำส้มคั้นถุงนี้จริงๆค่ะจนต้องขอถ่ายรูปมาอวดทุกคน

                                                                                                                                                              
ระหว่างเดินทอดน่องบนท้องถนนก็เจอกับ....!?!
ทุกคนลองเดากันซิคะว่า เจ้ากล่องติดล้อสิ่งนี้ มันคืออะไร? ไว้ใช้ทำอะไร ?
ทามเมทชีน ?
สกูตเตอร์รุ่นใหม่ ?
คูลเลอร์แช่เย็น ?

จริงๆแล้ว เจ้าสิ่งนี้คือ 
!!!รถเข็นสาวยาคูลท์!!!


ถ้านึกของคู่ชีพสาวยูคูลท์ไทยก็จะนึกถึงรถมอไซด์ซ้อนท้ายด้วยกล่องอะลูมิเนี่ยมแปะป้ายยาคูลท์สีแดง -น้ำเงิน ส่วนสาวยาคูลท์เกาหลีก็มีเจ้านี้แหละค่ะ รถเข็นยาคูลท์ หรือที่คนเกาหลีออกเสียงว่า ยา-คุ-รุ ออกเข็นขาย ... ตอนเดินผ่านเห็นว่าน่ารัก แปลกดีเลยยกกล้องถ่ายเร็วๆกลัวสาวยาคูลท์เดินมาห้าม No Photo นะยู

เราเดินเรื่อยๆจนหยุดที่หน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ก็เจอกับเจ้าตู้หน้าตาแปลกประหลาดนี้ตั้งอยู่!!!
ซึ่งมันเป็นสิ่งประดิษฐ์อีกอย่างที่เราปลื้มสุดๆ ก่อนจะเฉลย ทุกคนลองเดากันอีกครั้งซิคะว่า มันคืออะไร?
ถังขยะรุ่นใหม่ ?
ที่เขี่ยบุหรี่แบบใหม่ ?

เฉลยจร้า เจ้าตู้ประหลาดนี้คือ
!!!ที่สำหรับห่อร่ม!!!

ลองจินตนาการทุกท่านกำลังเดินกางร่มฝ่าสายฝน เมื่อต้องเข้าในอาคารก็ต้องเก็บร่ม ซึ่งถ้าเป็นประเทศไทยเราสามารถเสียบร่มไว้ที่ราวเหล็กหน้าห้างได้ ส่วนที่เกาหลีเมื่อเราหุบร่มแล้วก็สามารถหย่อนมันลงรูด้านบนแล้วใช้มือดึงร่มห่อพลาสติกออกด้านล่าง เท่านี้เราก็สามารถพกร่มเปียกๆของเราเข้าห้างได้

รู้สึกประทับใจกับความใส่ใจเล็กๆน้อยๆของประเทศนี้ แต่อย่าเพิ่งน้อยใจที่ไทยไม่มีเจ้าตู้นี้ หลายคนคงบ่นอุบกันว่า โถ่ ประเทศไทยล้าสมัย ดูประเทศอื่นซิว่าเขาพัฒนากันไปถึงไหนแล้ว

แต่ลองคิดกลับกันนะคะว่า แม้ประเทศไทยเราจะไม่มีตึกระฟ้า ห้างหรู หรือสิ่งประดิษฐ์แปลกใหม่มากมายแถมการคมนาคมของเราก็ดูติดขัดจนหายใจไม่ออก แต่การที่คนไทยสามารถวางร่มทิ้งไว้ที่หน้าห้างได้อย่างสบายใจหายห่วงนั้นหมายความว่าไทยแลนด์ของเราเป็นประเทศแห่งความเป็นมิตรใช่มั้ยค่ะ จะมีประเทศชาติไหนในโลกนี้บ้างที่ผู้คนไว้วางใจกันมากพอที่กล้าจะทิ้งสัมภาระไว้นอกการดูแล ... ร่มเปียก ถ้าเอาเข้าห้างเดี๋ยวพื้นเปียก ก็ทิ้งมันไว้ข้างนอกนั้นแหละ ...

หลังจากนั้นไม่นานท้องฟ้าก็เริ่มมืด ร่างกายที่ใช้อย่างโหมหนักทั้งวันก็ต้องการการพักผ่อน เพื่อเตรียมตัวเดินทางไปเยือน พระราชวังเคียงบ๊อก โซลทาวเวอร์ และตลาดเมียงดงในวันรุ่งขึ้น!!!

อย่าลืมอ่านตอนต่อไป คลิ๊ก เที่ยวเกาหลี ตอนสี่

                                                                                                                                                              


เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!!                                                 คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วย
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ



เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง

เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริป
บุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย




วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ
                                                                                                                                                               

เที่ยวเกาหลีตอนที่ 2 : เมืองซูวอน วัดวาวูจองซา ทัลคาบี

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

หลังจากตะลอนเที่ยวมาทั้งวันใน เที่ยวเกาหลี ตอนหนึ่ง สารร่างก็เริ่มร่วงโรยโหยหาอาหาร ... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จะขอพาทุกท่านไปยลโฉมอาหารเย็นมื้อแรกที่เกาหลี

Dak Galbi หรือ ทัลคาบี หรือ ไก่ผัดซอสเกาหลี!!!
จับตะหลิวให้แน่น แล้วมาผัดทัลคาบีด้วยกัน!!!
มีสมการอาหารดังนี้ (ไก่ + ข้าว + ผัก + ต๊อกป๊อกกี้) x ผัด = ทัลคาบี + กิมจิ +ผักเครื่องเคียง
แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยชอบกินไก่เท่าไร มื้อนี้ เราขอให้ 3 ดาวค่ะ

เกร็ดความรู้เล็กน้อยก่อนทานอาหาร!!!
เป็นอันรู้กันค่ะว่า "กิมจิ" คือเครื่องเคียงในอาหารทุกมื้อ ขอย้ำค่ะว่า "ทุกมื้อ" ไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด โอ้ปป้านูน่าของเราก็กินคู่กับกิมจิเสมอ ... เมื่อนึกถึงหน้าตาของเจ้ากิมจิ ทุกคนก็คงนึกถึงผักกาดขาวดองในซอสสีแดงๆ ใช่แล้วค่ะ กิมจิผักกาดขาวเป็นที่นิยมและขึ้นชื่อมากที่สุด แต่ยังไม่หมดเท่านั้นยังมีกิมจิแปลกๆอย่าง กิมจิหัวไช้เท้าสด กิมจิหัวไช้เท้าแห้ง กิมจิโสม...กิมจิปลาหมึก!!!ก็มีเจ้าค่ะ

วนกลับมาที่ร้านอาหารค่ะ ... ร้านอาหารเกาหลีร้านหนึ่งๆจะเสิร์ฟอาหารแค่หนึ่งชนิดเท่านั้น อย่างร้านที่เราไปเยือนวันนี้จะเสิร์ฟแค่ทัลคาบิ เมนูเดียวเท่านั้น!!! ไม่เหมือนร้านอาหารไทยที่สั่งเมนูไหนอะไรก็ได้ ... ฉะนั้นถ้ามาเกาหลีล่ะก็ ก่อนทานอาหารควรตัดสินให้ดีว่ามื้อนั้นๆอยากทานอะไรแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านเลย เพราะถ้านั่งในร้านแล้วจะเปลี่ยนใจอยากทานอย่างอื่นไม่ได้แล้วนะคะ




หลังจากเลือกสั่งทัลคาบี(ก็ทั้งร้านมีแค่เมนูเดียว) แม่ครัวก็ยกกระทะร้อนใบใหญ่ พร้อมด้วยกระหล่ำปลี ต๊อกป๊อกกีราดด้วยซอสพริกสไตล์เกาหลีมาตั้ง ปั๊กก!!! ต่อมาก็เป็นหน้าที่แม่ครัวมือสมัครเล่นคว้าตะหลิวขึ้นมา ผัดๆๆ คลุกเคล้าผักและซอสให้เข้ากัน



สักพักก็ยกข้าวสวยเม็ดโตเทตามลงไปผัดกับผักก่อนหน้านั้น ผัดๆๆ



พอได้ที่แล้วให้ใช้ตะหลิวกดข้าวผัดลงไปให้แนบติดกระทะ พี่ไกด์เกาหลีบอกเคล็ดลับว่า ถ้าจะกินให้อร่อยต้องทิ้งข้าวผัดของเราไว้ให้แห้งติดกระทะ ทำให้นอกจากรสเผ็ดจัดจ้านของซอสแล้ว เราจะได้รับรสกรุบกรอบของข้าวด้วย ... ตรงไหนไหม้ๆนะ ชอบมากค่ะ ห้าๆๆ ... ทานพร้อมผักสด ตามด้วยเครื่องเคียงอย่างกิมจิ ยำสาหร่าย ยำถั่วงอก อร่อยอย่าบอกใคร

...................................................
ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง!!!

หลังจากทานมื้อเย็นแสนอร่อย ก็เดินทางเข้าที่พักในเมืองซูวอน
ตลอดสองข้างทาง เราสังเกตเห็นว่าโคมไฟข้างทาง ด้านบนของโคมประดับด้วยรูป "ลุกฟุตบอล" และแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะจำได้ลางๆว่าพี่ไกด์เคยเกริ่นไว้ว่า คืนนี้เราจะเข้าพักที่เมืองแห่งพัคจีซอง



พัคจีซอง หรือที่รู้จักกันในามของ กัปตันปาร์ค เขาคือนักฟุตบอลเกาหลีที่ไปสร้างชื่อเสียงในทีมระดับโลกอย่างแมนเซสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ เขาเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดกลับมาแต่งงานใช้ชีวิตในเกาหลี จีซองขึ้นชื่อว่าเป็นชายนักกีฬาอารมณ์ดี เขามักจะปรากฏตัวในโฆษณาและรายการทีวีต่างๆ รวมถึงรายการชื่อดังอย่างรันนิ่งแมน และเขายังเคยเดินทางมาร่วมงานเอเซี่ยนคัฟในไทยอีกด้วย ... ซึ่งเมืองซูวอนคือบ้านเกิดของพัคจีซองนี้เอง จึงมีการประดับ "ลุกฟุตบอล" ตามสถานที่ต่างๆทั่วเมืองแม้กระทั่งโคมไฟข้างทางก็ไม่เว้น
พัคจีซองในรายการรันนิ่งแมน ขณะที่เดินทางมาถ่ายทำรายการที่ประเทศไทย

ครอบครัวเราพักโรงแรมในย่านการค้า ตกค่ำก็ย่ำเดินออกไปท่องบนถนนแห่งการค้า ยอมรับเลยค่ะว่า บ้านเมืองเขาสะอาดมาก เห็นมากับตาในวันก่อนกลับไทย แม้แต่แอ่งน้ำขังเล็กๆข้างถนนก็จะมีพนักงานเดินมากวาดไล่น้ำให้ลงท่อไป ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่แสงแดดแผดเผาให้น้ำระเหยหายไปเอง

แต่ที่ขัดใจอยู่อย่างเดียวคือ "การสูบบุหรี่"
ไม่แน่ใจว่า เกาหลีเขามีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะหรือไม่ ถ้าใช่ล่ะก็ คงเป็นกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพมาก เพราะไม่ว่าเดินไปทางไหนก็เจอแต่คนสูบบุหรี่ โอ๊ปป้านูน่าขาวสวยเดินคืบบุหรี่พ่นบุ้ยๆตามท้องถนน

แต่ยังดีที่ไม่ร้ายแรงเท่าที่ฮ่องกง เจอมากับตัว พนักงานที่เคาน์เตอร์ในสนามบินนั่งพ่นควันบุหรี่ใส่นักเดินทาง เลยคลายข้อสงสัยว่าทำไมคนฮ่องกงส่วนใหญ่เลือกที่จะใส่ผ้าปิดจมูกเวลาเดินตามท้องถนน และที่เกาหลีก็ยังถือว่าดีกว่าฮ่องกงคือ ตามท้องถนนอย่างน้อยมีการจัดโซนนิ่งให้นั่งสูบ ใครที่ไม่สูบ เดินผ่านไปในช่วงโซนนิ่งก็อย่าไปเผลอทำหน้าตาเหย่เกเชียว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

เมื่ออาทิตย์ลับฟ้าอากาศก็เริ่มเย็นสบายยิ่งขึ้น อุณหภูมิประมาณ 25-26 องศา อากาศดีเหมือนกำลังเดินทอดน่องในห้างสรรพสินค้า หลังจากเดินเล่นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับเข้าที่พัก นอนหลับชาร์ตพลังเตรียมสำหรับการผจญภัยในวันรุ่งขึ้น
บรรยากาศยามค่ำคืน ณ ย่านการค้าซูวอน








                                                                                                                                                              
แผนการเดินทางวันใหม่ วัดวาวูจองชา > แอเวอร์แลนด์ > ตลาดทงแดมุน!!!

นั่งรถบัสออกนอกตัวเมืองไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงจุดหมายแรกของเราคือ "วัดวาวูจองชา" ซึ่งระหว่างทางรถบัสจะพาเราลัดเลาะผ่านหุบเขา เราสังเกตว่าสองข้างทางผาดินจะมีการขึงตาข่ายเหล็กหุ้มเขาไว้เพื่อกันไม่ให้มีหินหรือดินสไลด์ลงมาปิดเส้นทางการสัญจร ชาบูๆระบบการจัดการและความเอาใจใส่ของกระทรวงคมนาคม(?)ของเกาหลี


และแล้วเราเดินทางมาถึง "วัดวาวูจองชา" ค่ะเป็นวัดที่ขึ้นชื่อว่า มีนักท่องเที่ยวไทยมาเยือนมากที่สุด แต่ใช่ว่าทุกทัวร์จะมีโปรแกรมมาเยือนวัดนี้นะคะเพราะวัดค่อนข้างไกลจากตัวเมือง

เหตุผลที่อยากมาวัดวาวูจองชาก็เพราะว่า เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมานั่งดูรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่งพาเที่ยวเกาหลีค่ะ ช่วงกลางรายการพิธีกรพาไปชมวัดนี้และขณะที่กำลังสัมภาษณ์ไกด์ท้องถิ่นอยู่นั้น หิมะก็ตก!!!

ภาพวัดในสายหิมะช่างสวยงาม เลยสัญญากับตัวเองว่า สักครั้งในชีวิต ข้าน้อยจะขอมาทอดกฐิน เอ๊ย มาเยี่ยมชมวัดนี้ให้ได้!!! และแล้วก็ได้มาสมใจค่ะ

วัดนี้มีชื่อเรียกเล่นๆว่า วัดแห่งสันติภาพ(ที่ไม่มีวันเป็นจริง) เศียรพระใหญ่สร้างขึ้นด้วยความหวังว่าสักวัน เกาหลีเหนือกับเกาหลีจะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง  ... สาเหตุที่สร้างเฉพาะส่วนเศียรพระก็เพื่อรอให้สักวันเกาหลีเหนือช่วยสร้างส่วนตัวขององค์พระ แต่เนื่องจากเป็นเพียงแค่ "ความหวังที่ไม่มีทางเป็นจริง" เศียรพระสีทองนี้จึงต้องตั้งอย่างเดียวดายบนกองหินใหญ่ต่อไป


ในสมัยก่อนจะมีผู้แสวงบุญเดินทางมาจากหลายท้องที่ หลายประเทศและเพื่อเป็นการสักการะบูชา ผู้แสวงบุญจะต้องพก "ก้อนหิน"จากเมืองของตนมาวางที่วัด

แม้ปัจจุบันจะไม่มีการปฎิบัติเช่นนี้แล้ว แต่เนื่องด้วยชื่อเสียงโด่งดังในอดีตทำให้มีพุทธศาสนิกทั่วโลกถวายองค์พระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานในวัดแห่งนี้ รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงพระราชทานพระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานในวัดนี้เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ดีมีการให้สามัญชนทัวริส ไทยแลนด์สามารถร่วมทำบุญกับทางวัดได้โดยซื้อแผ่นกระเบื้อง(แทนหิน)เขียนคำอธิษฐานขอพร ฉะนั้นเด็กไทยมือบอนอย่าไปเที่ยวเขียนตามผนังวัดนะคะ ที่นี้เขามีให้ซื้อกระเบื้อง อยากจะเขียนอะไรให้เขียนลงกระเบื้อง นอกจากจะช่วยรักษาความสะอาดของวัดแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะเอ่อ

การที่จะขึ้นไปเยี่ยมชมพระพุทธรุป เจดีย์ของวัดนั้นต้องทำการเดินขึ้นเขา ขึ้นบันได ฉะนั้นใครที่จะมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้จงเตรียมรองเท้าของท่านให้พร้อม เส้นทางช่างยาวไกลเป็นเครื่องพิสูจน์ศรัทธาและจิตมุ่งมั่นในการถ่ายภาพของท่านได้อย่างน่าดีชม

ว่าแล้วเราก็ค่อยๆไต่ขึ้นเนินเขาไปทีละนิด เดินไปถ่ายรูปไปพลางแต่อนิจจาเมื่อถึงด้านบน แบ็ตกล้องหมด!!! กรี๊ด!!! แบ็ตสำรองอยู่ในกระเป๋าใต้รถทัวร์ ด้วยสปริตแรงกล้าจึงกัดฟันเดินลงไปเปลี่ยนแบ็ตแต่ครั้นพอเดินกลับขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางก็ถอดใจ ได้เห็นกับตาก็อิ่มใจแล้วแม้จะไม่มีรูปมาฝากท่านผู้ชมก็ตาม ... และนี่คือรูปบางส่วนที่ทันถ่ายก่อนแบ็ตหมดค่ะ

ทางเดินเนินขึ้นเขา

ระหว่างทางเดินขึ้นบันได














                                                                                                                                                              
พบกับร้านเปิดท้ายขาย "เชอร์รี่"

ระหว่างทางไปร้านอาหารก็พบกับ คุณลุงหน้าตาใจดี ท่าทางน่าไว้วางใจ น่าจะสามารถการันตีความอร่อยของเชอร์รี่ได้ หลังจากเดินวนไปมาสักพัก ก็ตัดสินใจซื้อโดยอาศัยหน้าตาคนขายที่น่าเชื่อถือประกอบกับความอยากกินควักเงินออกมา 8,000 วอนเพื่อซื้อเชอร์รี่สดมาลองชิม

พี่ไกด์เกาหลีแอบบอกว่าแพงนะคะ แต่พี่ดันบอกตอนซื้อเสร็จแล้วเนี้ยนะ แต่คิดซะว่าเรามาเทียวค่ะ จะมัวแต่คอยหยิบเครื่องคิดเลขมาจิ้มๆตลอดเวลา ทริปเที่ยวก็คงหมดสนุกกันพอดี ขอเพียงแค่อย่าเผลอตัวไปซื้ออะไรที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ก็แล้วกัน ... ซึ่งเชอร์รี่สดราคา 8,000 วอนกล่องนี้ ไม่ผิดหวังค่ะ อร่อยหวานฉ่ำมาก

และแล้วก็เหลือบเห็นรถยี่ห้อ ฮุนได อีกแล้ว!!! เราสังเกตค่ะว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนไม่ว่าจะในหรือนอกเมือง ท่านจะสามารถพบรถเพียง 3 ยี่ห้อเท่านั้นในประเทศเกาหลีใต้คือ "ฮุนได""KIA"และ"BMW" เท่านั้นซึ่งโทนสีส่วนใหญ่ออกไปทาง ดำ กับ ขาว ...

แปลกใจมากค่ะ เลยถามพี่ไกด์เกาหลี พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่า อย่างแรกเลย คนเกาหลีเค้าไม่ใช้ "ของญี่ปุ่น"ค่ะ ฉะนั้นคุณจะไม่สามารถพบ ฮอนด้า ยามาฮ่าหรือซูซูกิที่เกาหลีเลย สองคือ เนื่องจากประเทศเกาหลีใต้เป็นเกาะถูกล้อมรอบด้วยทะเล ไอทะเลจะกัดกร่อนเหล็กฉะนั้นรถที่ไม่คุณภาพจะผุพังเสียง่าย ฉะนั้นรถที่พวกเขาไว้ใจจึงมีอยู่เท่านี้ ... พี่ไกด์ปิดท้ายว่า จริงๆแล้วไม่ใช่เพียงแค่ 3 ยี่ห้อเท่านั้นแต่มีถึง 4 ยี่ห้อด้วยกัน!!! ลองเดาซิคะว่ายี่ห้อสุดท้ายคืออะไร ??
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ยี่ห้อ SAMSUNG เจ้าค่ะ

ห๊า!?! ใช่ค่ะ ตราสัญลักษณ์จะเป็นรูปอักษร A (ซึ่งเราพยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอ)
ซัมซุงเค้าขายสมาร์ทโฟนไม่ใช่หรือ?  พี่ไกด์เล่าว่าเนื่องจากเจ้าของซัมซุงเป็นคนเกาหลีใต้ บริษัทซัมซุงจึงรับหน้าที่ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ในประเทศตั้งแต่ เครื่องมือสื่อสาร รถยนต์ ไปจนถึงโรงแรม โรงพยาบาล รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างยางจิไพน์ สกีรีสอร์ทและสวนสนุกเอเวอร์แลนด์เป้าหมายต่อไปของเราก็เป็นของบริษัทซัมซุงนะคะ

พี่แกเล่าว่าลูกชายเจ้าของบริษัทตกหลุมรักกับอดีตนางงามสาวเกาหลี แต่เนื่องจากครอบครัวไม่ยอมรับ สาวเจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองจึงยืมเงินสามีมาลงทุนสร้างแอเวอร์แลนด์ ตอนแรกคนก็หัวเราะเยาะ แต่ใครจะรู้ว่า แอเวอร์แลนด์กลายเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์คู่เกาหลีใต้ นักท่องเที่ยวไม่ว่าเกาหลีหรือต่างชาติพร้อมใจเดินทางมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย
... อ่อ ปัจจุบัน สาวเจ้าหย่ากับลูกชายเจ้าของซัมซุงแล้วนะคะ ...



แต่อย่างไรก็ดี !!!

"กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" หลังจากใช้เวลาเที่ยวชมวัดประมาณ 1 ชั่วโมงก็กระโดดขึ้นรถทัวร์เพื่อตรงไปร้านอาหาร (ยิ้มกว้าง) และสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ปิดท้ายด้วยตลาดทงแดมุนต่อไป 

อ่านตอนต่อไปคลิ๊ก เที่ยวเกาหลี ตอนสาม

                                                                                                                                                              

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!!                                                 คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วย
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ



เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง

เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริป
บุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย




วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ