เที่ยวเกาหลีตอนที่ 2 : เมืองซูวอน วัดวาวูจองซา ทัลคาบี

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

หลังจากตะลอนเที่ยวมาทั้งวันใน เที่ยวเกาหลี ตอนหนึ่ง สารร่างก็เริ่มร่วงโรยโหยหาอาหาร ... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จะขอพาทุกท่านไปยลโฉมอาหารเย็นมื้อแรกที่เกาหลี

Dak Galbi หรือ ทัลคาบี หรือ ไก่ผัดซอสเกาหลี!!!
จับตะหลิวให้แน่น แล้วมาผัดทัลคาบีด้วยกัน!!!
มีสมการอาหารดังนี้ (ไก่ + ข้าว + ผัก + ต๊อกป๊อกกี้) x ผัด = ทัลคาบี + กิมจิ +ผักเครื่องเคียง
แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยชอบกินไก่เท่าไร มื้อนี้ เราขอให้ 3 ดาวค่ะ

เกร็ดความรู้เล็กน้อยก่อนทานอาหาร!!!
เป็นอันรู้กันค่ะว่า "กิมจิ" คือเครื่องเคียงในอาหารทุกมื้อ ขอย้ำค่ะว่า "ทุกมื้อ" ไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด โอ้ปป้านูน่าของเราก็กินคู่กับกิมจิเสมอ ... เมื่อนึกถึงหน้าตาของเจ้ากิมจิ ทุกคนก็คงนึกถึงผักกาดขาวดองในซอสสีแดงๆ ใช่แล้วค่ะ กิมจิผักกาดขาวเป็นที่นิยมและขึ้นชื่อมากที่สุด แต่ยังไม่หมดเท่านั้นยังมีกิมจิแปลกๆอย่าง กิมจิหัวไช้เท้าสด กิมจิหัวไช้เท้าแห้ง กิมจิโสม...กิมจิปลาหมึก!!!ก็มีเจ้าค่ะ

วนกลับมาที่ร้านอาหารค่ะ ... ร้านอาหารเกาหลีร้านหนึ่งๆจะเสิร์ฟอาหารแค่หนึ่งชนิดเท่านั้น อย่างร้านที่เราไปเยือนวันนี้จะเสิร์ฟแค่ทัลคาบิ เมนูเดียวเท่านั้น!!! ไม่เหมือนร้านอาหารไทยที่สั่งเมนูไหนอะไรก็ได้ ... ฉะนั้นถ้ามาเกาหลีล่ะก็ ก่อนทานอาหารควรตัดสินให้ดีว่ามื้อนั้นๆอยากทานอะไรแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านเลย เพราะถ้านั่งในร้านแล้วจะเปลี่ยนใจอยากทานอย่างอื่นไม่ได้แล้วนะคะ




หลังจากเลือกสั่งทัลคาบี(ก็ทั้งร้านมีแค่เมนูเดียว) แม่ครัวก็ยกกระทะร้อนใบใหญ่ พร้อมด้วยกระหล่ำปลี ต๊อกป๊อกกีราดด้วยซอสพริกสไตล์เกาหลีมาตั้ง ปั๊กก!!! ต่อมาก็เป็นหน้าที่แม่ครัวมือสมัครเล่นคว้าตะหลิวขึ้นมา ผัดๆๆ คลุกเคล้าผักและซอสให้เข้ากัน



สักพักก็ยกข้าวสวยเม็ดโตเทตามลงไปผัดกับผักก่อนหน้านั้น ผัดๆๆ



พอได้ที่แล้วให้ใช้ตะหลิวกดข้าวผัดลงไปให้แนบติดกระทะ พี่ไกด์เกาหลีบอกเคล็ดลับว่า ถ้าจะกินให้อร่อยต้องทิ้งข้าวผัดของเราไว้ให้แห้งติดกระทะ ทำให้นอกจากรสเผ็ดจัดจ้านของซอสแล้ว เราจะได้รับรสกรุบกรอบของข้าวด้วย ... ตรงไหนไหม้ๆนะ ชอบมากค่ะ ห้าๆๆ ... ทานพร้อมผักสด ตามด้วยเครื่องเคียงอย่างกิมจิ ยำสาหร่าย ยำถั่วงอก อร่อยอย่าบอกใคร

...................................................
ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง!!!

หลังจากทานมื้อเย็นแสนอร่อย ก็เดินทางเข้าที่พักในเมืองซูวอน
ตลอดสองข้างทาง เราสังเกตเห็นว่าโคมไฟข้างทาง ด้านบนของโคมประดับด้วยรูป "ลุกฟุตบอล" และแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะจำได้ลางๆว่าพี่ไกด์เคยเกริ่นไว้ว่า คืนนี้เราจะเข้าพักที่เมืองแห่งพัคจีซอง



พัคจีซอง หรือที่รู้จักกันในามของ กัปตันปาร์ค เขาคือนักฟุตบอลเกาหลีที่ไปสร้างชื่อเสียงในทีมระดับโลกอย่างแมนเซสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ เขาเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดกลับมาแต่งงานใช้ชีวิตในเกาหลี จีซองขึ้นชื่อว่าเป็นชายนักกีฬาอารมณ์ดี เขามักจะปรากฏตัวในโฆษณาและรายการทีวีต่างๆ รวมถึงรายการชื่อดังอย่างรันนิ่งแมน และเขายังเคยเดินทางมาร่วมงานเอเซี่ยนคัฟในไทยอีกด้วย ... ซึ่งเมืองซูวอนคือบ้านเกิดของพัคจีซองนี้เอง จึงมีการประดับ "ลุกฟุตบอล" ตามสถานที่ต่างๆทั่วเมืองแม้กระทั่งโคมไฟข้างทางก็ไม่เว้น
พัคจีซองในรายการรันนิ่งแมน ขณะที่เดินทางมาถ่ายทำรายการที่ประเทศไทย

ครอบครัวเราพักโรงแรมในย่านการค้า ตกค่ำก็ย่ำเดินออกไปท่องบนถนนแห่งการค้า ยอมรับเลยค่ะว่า บ้านเมืองเขาสะอาดมาก เห็นมากับตาในวันก่อนกลับไทย แม้แต่แอ่งน้ำขังเล็กๆข้างถนนก็จะมีพนักงานเดินมากวาดไล่น้ำให้ลงท่อไป ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่แสงแดดแผดเผาให้น้ำระเหยหายไปเอง

แต่ที่ขัดใจอยู่อย่างเดียวคือ "การสูบบุหรี่"
ไม่แน่ใจว่า เกาหลีเขามีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะหรือไม่ ถ้าใช่ล่ะก็ คงเป็นกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพมาก เพราะไม่ว่าเดินไปทางไหนก็เจอแต่คนสูบบุหรี่ โอ๊ปป้านูน่าขาวสวยเดินคืบบุหรี่พ่นบุ้ยๆตามท้องถนน

แต่ยังดีที่ไม่ร้ายแรงเท่าที่ฮ่องกง เจอมากับตัว พนักงานที่เคาน์เตอร์ในสนามบินนั่งพ่นควันบุหรี่ใส่นักเดินทาง เลยคลายข้อสงสัยว่าทำไมคนฮ่องกงส่วนใหญ่เลือกที่จะใส่ผ้าปิดจมูกเวลาเดินตามท้องถนน และที่เกาหลีก็ยังถือว่าดีกว่าฮ่องกงคือ ตามท้องถนนอย่างน้อยมีการจัดโซนนิ่งให้นั่งสูบ ใครที่ไม่สูบ เดินผ่านไปในช่วงโซนนิ่งก็อย่าไปเผลอทำหน้าตาเหย่เกเชียว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน

เมื่ออาทิตย์ลับฟ้าอากาศก็เริ่มเย็นสบายยิ่งขึ้น อุณหภูมิประมาณ 25-26 องศา อากาศดีเหมือนกำลังเดินทอดน่องในห้างสรรพสินค้า หลังจากเดินเล่นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับเข้าที่พัก นอนหลับชาร์ตพลังเตรียมสำหรับการผจญภัยในวันรุ่งขึ้น
บรรยากาศยามค่ำคืน ณ ย่านการค้าซูวอน








                                                                                                                                                              
แผนการเดินทางวันใหม่ วัดวาวูจองชา > แอเวอร์แลนด์ > ตลาดทงแดมุน!!!

นั่งรถบัสออกนอกตัวเมืองไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงจุดหมายแรกของเราคือ "วัดวาวูจองชา" ซึ่งระหว่างทางรถบัสจะพาเราลัดเลาะผ่านหุบเขา เราสังเกตว่าสองข้างทางผาดินจะมีการขึงตาข่ายเหล็กหุ้มเขาไว้เพื่อกันไม่ให้มีหินหรือดินสไลด์ลงมาปิดเส้นทางการสัญจร ชาบูๆระบบการจัดการและความเอาใจใส่ของกระทรวงคมนาคม(?)ของเกาหลี


และแล้วเราเดินทางมาถึง "วัดวาวูจองชา" ค่ะเป็นวัดที่ขึ้นชื่อว่า มีนักท่องเที่ยวไทยมาเยือนมากที่สุด แต่ใช่ว่าทุกทัวร์จะมีโปรแกรมมาเยือนวัดนี้นะคะเพราะวัดค่อนข้างไกลจากตัวเมือง

เหตุผลที่อยากมาวัดวาวูจองชาก็เพราะว่า เมื่อประมาณต้นปีที่ผ่านมานั่งดูรายการท่องเที่ยวรายการหนึ่งพาเที่ยวเกาหลีค่ะ ช่วงกลางรายการพิธีกรพาไปชมวัดนี้และขณะที่กำลังสัมภาษณ์ไกด์ท้องถิ่นอยู่นั้น หิมะก็ตก!!!

ภาพวัดในสายหิมะช่างสวยงาม เลยสัญญากับตัวเองว่า สักครั้งในชีวิต ข้าน้อยจะขอมาทอดกฐิน เอ๊ย มาเยี่ยมชมวัดนี้ให้ได้!!! และแล้วก็ได้มาสมใจค่ะ

วัดนี้มีชื่อเรียกเล่นๆว่า วัดแห่งสันติภาพ(ที่ไม่มีวันเป็นจริง) เศียรพระใหญ่สร้างขึ้นด้วยความหวังว่าสักวัน เกาหลีเหนือกับเกาหลีจะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง  ... สาเหตุที่สร้างเฉพาะส่วนเศียรพระก็เพื่อรอให้สักวันเกาหลีเหนือช่วยสร้างส่วนตัวขององค์พระ แต่เนื่องจากเป็นเพียงแค่ "ความหวังที่ไม่มีทางเป็นจริง" เศียรพระสีทองนี้จึงต้องตั้งอย่างเดียวดายบนกองหินใหญ่ต่อไป


ในสมัยก่อนจะมีผู้แสวงบุญเดินทางมาจากหลายท้องที่ หลายประเทศและเพื่อเป็นการสักการะบูชา ผู้แสวงบุญจะต้องพก "ก้อนหิน"จากเมืองของตนมาวางที่วัด

แม้ปัจจุบันจะไม่มีการปฎิบัติเช่นนี้แล้ว แต่เนื่องด้วยชื่อเสียงโด่งดังในอดีตทำให้มีพุทธศาสนิกทั่วโลกถวายองค์พระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานในวัดแห่งนี้ รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงพระราชทานพระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานในวัดนี้เช่นกัน

แต่อย่างไรก็ดีมีการให้สามัญชนทัวริส ไทยแลนด์สามารถร่วมทำบุญกับทางวัดได้โดยซื้อแผ่นกระเบื้อง(แทนหิน)เขียนคำอธิษฐานขอพร ฉะนั้นเด็กไทยมือบอนอย่าไปเที่ยวเขียนตามผนังวัดนะคะ ที่นี้เขามีให้ซื้อกระเบื้อง อยากจะเขียนอะไรให้เขียนลงกระเบื้อง นอกจากจะช่วยรักษาความสะอาดของวัดแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะเอ่อ

การที่จะขึ้นไปเยี่ยมชมพระพุทธรุป เจดีย์ของวัดนั้นต้องทำการเดินขึ้นเขา ขึ้นบันได ฉะนั้นใครที่จะมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้จงเตรียมรองเท้าของท่านให้พร้อม เส้นทางช่างยาวไกลเป็นเครื่องพิสูจน์ศรัทธาและจิตมุ่งมั่นในการถ่ายภาพของท่านได้อย่างน่าดีชม

ว่าแล้วเราก็ค่อยๆไต่ขึ้นเนินเขาไปทีละนิด เดินไปถ่ายรูปไปพลางแต่อนิจจาเมื่อถึงด้านบน แบ็ตกล้องหมด!!! กรี๊ด!!! แบ็ตสำรองอยู่ในกระเป๋าใต้รถทัวร์ ด้วยสปริตแรงกล้าจึงกัดฟันเดินลงไปเปลี่ยนแบ็ตแต่ครั้นพอเดินกลับขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางก็ถอดใจ ได้เห็นกับตาก็อิ่มใจแล้วแม้จะไม่มีรูปมาฝากท่านผู้ชมก็ตาม ... และนี่คือรูปบางส่วนที่ทันถ่ายก่อนแบ็ตหมดค่ะ

ทางเดินเนินขึ้นเขา

ระหว่างทางเดินขึ้นบันได














                                                                                                                                                              
พบกับร้านเปิดท้ายขาย "เชอร์รี่"

ระหว่างทางไปร้านอาหารก็พบกับ คุณลุงหน้าตาใจดี ท่าทางน่าไว้วางใจ น่าจะสามารถการันตีความอร่อยของเชอร์รี่ได้ หลังจากเดินวนไปมาสักพัก ก็ตัดสินใจซื้อโดยอาศัยหน้าตาคนขายที่น่าเชื่อถือประกอบกับความอยากกินควักเงินออกมา 8,000 วอนเพื่อซื้อเชอร์รี่สดมาลองชิม

พี่ไกด์เกาหลีแอบบอกว่าแพงนะคะ แต่พี่ดันบอกตอนซื้อเสร็จแล้วเนี้ยนะ แต่คิดซะว่าเรามาเทียวค่ะ จะมัวแต่คอยหยิบเครื่องคิดเลขมาจิ้มๆตลอดเวลา ทริปเที่ยวก็คงหมดสนุกกันพอดี ขอเพียงแค่อย่าเผลอตัวไปซื้ออะไรที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ก็แล้วกัน ... ซึ่งเชอร์รี่สดราคา 8,000 วอนกล่องนี้ ไม่ผิดหวังค่ะ อร่อยหวานฉ่ำมาก

และแล้วก็เหลือบเห็นรถยี่ห้อ ฮุนได อีกแล้ว!!! เราสังเกตค่ะว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนไม่ว่าจะในหรือนอกเมือง ท่านจะสามารถพบรถเพียง 3 ยี่ห้อเท่านั้นในประเทศเกาหลีใต้คือ "ฮุนได""KIA"และ"BMW" เท่านั้นซึ่งโทนสีส่วนใหญ่ออกไปทาง ดำ กับ ขาว ...

แปลกใจมากค่ะ เลยถามพี่ไกด์เกาหลี พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่า อย่างแรกเลย คนเกาหลีเค้าไม่ใช้ "ของญี่ปุ่น"ค่ะ ฉะนั้นคุณจะไม่สามารถพบ ฮอนด้า ยามาฮ่าหรือซูซูกิที่เกาหลีเลย สองคือ เนื่องจากประเทศเกาหลีใต้เป็นเกาะถูกล้อมรอบด้วยทะเล ไอทะเลจะกัดกร่อนเหล็กฉะนั้นรถที่ไม่คุณภาพจะผุพังเสียง่าย ฉะนั้นรถที่พวกเขาไว้ใจจึงมีอยู่เท่านี้ ... พี่ไกด์ปิดท้ายว่า จริงๆแล้วไม่ใช่เพียงแค่ 3 ยี่ห้อเท่านั้นแต่มีถึง 4 ยี่ห้อด้วยกัน!!! ลองเดาซิคะว่ายี่ห้อสุดท้ายคืออะไร ??
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ยี่ห้อ SAMSUNG เจ้าค่ะ

ห๊า!?! ใช่ค่ะ ตราสัญลักษณ์จะเป็นรูปอักษร A (ซึ่งเราพยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอ)
ซัมซุงเค้าขายสมาร์ทโฟนไม่ใช่หรือ?  พี่ไกด์เล่าว่าเนื่องจากเจ้าของซัมซุงเป็นคนเกาหลีใต้ บริษัทซัมซุงจึงรับหน้าที่ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ในประเทศตั้งแต่ เครื่องมือสื่อสาร รถยนต์ ไปจนถึงโรงแรม โรงพยาบาล รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างยางจิไพน์ สกีรีสอร์ทและสวนสนุกเอเวอร์แลนด์เป้าหมายต่อไปของเราก็เป็นของบริษัทซัมซุงนะคะ

พี่แกเล่าว่าลูกชายเจ้าของบริษัทตกหลุมรักกับอดีตนางงามสาวเกาหลี แต่เนื่องจากครอบครัวไม่ยอมรับ สาวเจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองจึงยืมเงินสามีมาลงทุนสร้างแอเวอร์แลนด์ ตอนแรกคนก็หัวเราะเยาะ แต่ใครจะรู้ว่า แอเวอร์แลนด์กลายเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์คู่เกาหลีใต้ นักท่องเที่ยวไม่ว่าเกาหลีหรือต่างชาติพร้อมใจเดินทางมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย
... อ่อ ปัจจุบัน สาวเจ้าหย่ากับลูกชายเจ้าของซัมซุงแล้วนะคะ ...



แต่อย่างไรก็ดี !!!

"กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" หลังจากใช้เวลาเที่ยวชมวัดประมาณ 1 ชั่วโมงก็กระโดดขึ้นรถทัวร์เพื่อตรงไปร้านอาหาร (ยิ้มกว้าง) และสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ปิดท้ายด้วยตลาดทงแดมุนต่อไป 

อ่านตอนต่อไปคลิ๊ก เที่ยวเกาหลี ตอนสาม

                                                                                                                                                              

เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!!                                                 คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วย
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ



เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง

เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริป
บุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย




วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น