หลังจากตะลอนเที่ยวมาทั้งวันใน เที่ยวเกาหลี ตอนหนึ่ง สารร่างก็เริ่มร่วงโรยโหยหาอาหาร ... เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา จะขอพาทุกท่านไปยลโฉมอาหารเย็นมื้อแรกที่เกาหลี
Dak Galbi หรือ ทัลคาบี หรือ ไก่ผัดซอสเกาหลี!!!
จับตะหลิวให้แน่น แล้วมาผัดทัลคาบีด้วยกัน!!! |
แต่ด้วยความที่ไม่ค่อยชอบกินไก่เท่าไร มื้อนี้ เราขอให้ 3 ดาวค่ะ
เกร็ดความรู้เล็กน้อยก่อนทานอาหาร!!!
เป็นอันรู้กันค่ะว่า "กิมจิ" คือเครื่องเคียงในอาหารทุกมื้อ ขอย้ำค่ะว่า "ทุกมื้อ" ไม่ว่าจะต้ม ผัด แกง ทอด โอ้ปป้านูน่าของเราก็กินคู่กับกิมจิเสมอ ... เมื่อนึกถึงหน้าตาของเจ้ากิมจิ ทุกคนก็คงนึกถึงผักกาดขาวดองในซอสสีแดงๆ ใช่แล้วค่ะ กิมจิผักกาดขาวเป็นที่นิยมและขึ้นชื่อมากที่สุด แต่ยังไม่หมดเท่านั้นยังมีกิมจิแปลกๆอย่าง กิมจิหัวไช้เท้าสด กิมจิหัวไช้เท้าแห้ง กิมจิโสม...กิมจิปลาหมึก!!!ก็มีเจ้าค่ะ
วนกลับมาที่ร้านอาหารค่ะ ... ร้านอาหารเกาหลีร้านหนึ่งๆจะเสิร์ฟอาหารแค่หนึ่งชนิดเท่านั้น อย่างร้านที่เราไปเยือนวันนี้จะเสิร์ฟแค่ทัลคาบิ เมนูเดียวเท่านั้น!!! ไม่เหมือนร้านอาหารไทยที่สั่งเมนูไหนอะไรก็ได้ ... ฉะนั้นถ้ามาเกาหลีล่ะก็ ก่อนทานอาหารควรตัดสินให้ดีว่ามื้อนั้นๆอยากทานอะไรแล้วตรงดิ่งไปที่ร้านเลย เพราะถ้านั่งในร้านแล้วจะเปลี่ยนใจอยากทานอย่างอื่นไม่ได้แล้วนะคะ
หลังจากเลือกสั่งทัลคาบี(ก็ทั้งร้านมีแค่เมนูเดียว) แม่ครัวก็ยกกระทะร้อนใบใหญ่ พร้อมด้วยกระหล่ำปลี ต๊อกป๊อกกีราดด้วยซอสพริกสไตล์เกาหลีมาตั้ง ปั๊กก!!! ต่อมาก็เป็นหน้าที่แม่ครัวมือสมัครเล่นคว้าตะหลิวขึ้นมา ผัดๆๆ คลุกเคล้าผักและซอสให้เข้ากัน
สักพักก็ยกข้าวสวยเม็ดโตเทตามลงไปผัดกับผักก่อนหน้านั้น ผัดๆๆ
พอได้ที่แล้วให้ใช้ตะหลิวกดข้าวผัดลงไปให้แนบติดกระทะ พี่ไกด์เกาหลีบอกเคล็ดลับว่า ถ้าจะกินให้อร่อยต้องทิ้งข้าวผัดของเราไว้ให้แห้งติดกระทะ ทำให้นอกจากรสเผ็ดจัดจ้านของซอสแล้ว เราจะได้รับรสกรุบกรอบของข้าวด้วย ... ตรงไหนไหม้ๆนะ ชอบมากค่ะ ห้าๆๆ ... ทานพร้อมผักสด ตามด้วยเครื่องเคียงอย่างกิมจิ ยำสาหร่าย ยำถั่วงอก อร่อยอย่าบอกใคร
...................................................
ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง!!!
หลังจากทานมื้อเย็นแสนอร่อย ก็เดินทางเข้าที่พักในเมืองซูวอน
ตลอดสองข้างทาง เราสังเกตเห็นว่าโคมไฟข้างทาง ด้านบนของโคมประดับด้วยรูป "ลุกฟุตบอล" และแล้วก็ถึงบางอ้อ เพราะจำได้ลางๆว่าพี่ไกด์เคยเกริ่นไว้ว่า คืนนี้เราจะเข้าพักที่เมืองแห่งพัคจีซอง
พัคจีซอง หรือที่รู้จักกันในามของ กัปตันปาร์ค เขาคือนักฟุตบอลเกาหลีที่ไปสร้างชื่อเสียงในทีมระดับโลกอย่างแมนเซสเตอร์ยูไนเต็ด เมื่อกลางปีที่ผ่านมานี้ เขาเพิ่งประกาศแขวนสตั๊ดกลับมาแต่งงานใช้ชีวิตในเกาหลี จีซองขึ้นชื่อว่าเป็นชายนักกีฬาอารมณ์ดี เขามักจะปรากฏตัวในโฆษณาและรายการทีวีต่างๆ รวมถึงรายการชื่อดังอย่างรันนิ่งแมน และเขายังเคยเดินทางมาร่วมงานเอเซี่ยนคัฟในไทยอีกด้วย ... ซึ่งเมืองซูวอนคือบ้านเกิดของพัคจีซองนี้เอง จึงมีการประดับ "ลุกฟุตบอล" ตามสถานที่ต่างๆทั่วเมืองแม้กระทั่งโคมไฟข้างทางก็ไม่เว้น
พัคจีซองในรายการรันนิ่งแมน ขณะที่เดินทางมาถ่ายทำรายการที่ประเทศไทย |
ครอบครัวเราพักโรงแรมในย่านการค้า ตกค่ำก็ย่ำเดินออกไปท่องบนถนนแห่งการค้า ยอมรับเลยค่ะว่า บ้านเมืองเขาสะอาดมาก เห็นมากับตาในวันก่อนกลับไทย แม้แต่แอ่งน้ำขังเล็กๆข้างถนนก็จะมีพนักงานเดินมากวาดไล่น้ำให้ลงท่อไป ถ้าเป็นเมืองไทยก็คงปล่อยให้เป็นหน้าที่แสงแดดแผดเผาให้น้ำระเหยหายไปเอง
แต่ที่ขัดใจอยู่อย่างเดียวคือ "การสูบบุหรี่"
ไม่แน่ใจว่า เกาหลีเขามีกฎหมายห้ามสูบบุหรี่ในที่สาธารณะหรือไม่ ถ้าใช่ล่ะก็ คงเป็นกฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพมาก เพราะไม่ว่าเดินไปทางไหนก็เจอแต่คนสูบบุหรี่ โอ๊ปป้านูน่าขาวสวยเดินคืบบุหรี่พ่นบุ้ยๆตามท้องถนน
แต่ยังดีที่ไม่ร้ายแรงเท่าที่ฮ่องกง เจอมากับตัว พนักงานที่เคาน์เตอร์ในสนามบินนั่งพ่นควันบุหรี่ใส่นักเดินทาง เลยคลายข้อสงสัยว่าทำไมคนฮ่องกงส่วนใหญ่เลือกที่จะใส่ผ้าปิดจมูกเวลาเดินตามท้องถนน และที่เกาหลีก็ยังถือว่าดีกว่าฮ่องกงคือ ตามท้องถนนอย่างน้อยมีการจัดโซนนิ่งให้นั่งสูบ ใครที่ไม่สูบ เดินผ่านไปในช่วงโซนนิ่งก็อย่าไปเผลอทำหน้าตาเหย่เกเชียว เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
เมื่ออาทิตย์ลับฟ้าอากาศก็เริ่มเย็นสบายยิ่งขึ้น อุณหภูมิประมาณ 25-26 องศา อากาศดีเหมือนกำลังเดินทอดน่องในห้างสรรพสินค้า หลังจากเดินเล่นอยู่ประมาณ 1 ชั่วโมงก็กลับเข้าที่พัก นอนหลับชาร์ตพลังเตรียมสำหรับการผจญภัยในวันรุ่งขึ้น
บรรยากาศยามค่ำคืน ณ ย่านการค้าซูวอน |
แผนการเดินทางวันใหม่ วัดวาวูจองชา > แอเวอร์แลนด์ > ตลาดทงแดมุน!!!
นั่งรถบัสออกนอกตัวเมืองไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็จะถึงจุดหมายแรกของเราคือ "วัดวาวูจองชา" ซึ่งระหว่างทางรถบัสจะพาเราลัดเลาะผ่านหุบเขา เราสังเกตว่าสองข้างทางผาดินจะมีการขึงตาข่ายเหล็กหุ้มเขาไว้เพื่อกันไม่ให้มีหินหรือดินสไลด์ลงมาปิดเส้นทางการสัญจร ชาบูๆระบบการจัดการและความเอาใจใส่ของกระทรวงคมนาคม(?)ของเกาหลี
และแล้วเราเดินทางมาถึง "วัดวาวูจองชา" ค่ะเป็นวัดที่ขึ้นชื่อว่า มีนักท่องเที่ยวไทยมาเยือนมากที่สุด แต่ใช่ว่าทุกทัวร์จะมีโปรแกรมมาเยือนวัดนี้นะคะเพราะวัดค่อนข้างไกลจากตัวเมือง
ภาพวัดในสายหิมะช่างสวยงาม เลยสัญญากับตัวเองว่า สักครั้งในชีวิต ข้าน้อยจะขอมาทอดกฐิน เอ๊ย มาเยี่ยมชมวัดนี้ให้ได้!!! และแล้วก็ได้มาสมใจค่ะ
วัดนี้มีชื่อเรียกเล่นๆว่า วัดแห่งสันติภาพ(ที่ไม่มีวันเป็นจริง) เศียรพระใหญ่สร้างขึ้นด้วยความหวังว่าสักวัน เกาหลีเหนือกับเกาหลีจะกลับมารวมกันเป็นหนึ่งอีกครั้ง ... สาเหตุที่สร้างเฉพาะส่วนเศียรพระก็เพื่อรอให้สักวันเกาหลีเหนือช่วยสร้างส่วนตัวขององค์พระ แต่เนื่องจากเป็นเพียงแค่ "ความหวังที่ไม่มีทางเป็นจริง" เศียรพระสีทองนี้จึงต้องตั้งอย่างเดียวดายบนกองหินใหญ่ต่อไป
ในสมัยก่อนจะมีผู้แสวงบุญเดินทางมาจากหลายท้องที่ หลายประเทศและเพื่อเป็นการสักการะบูชา ผู้แสวงบุญจะต้องพก "ก้อนหิน"จากเมืองของตนมาวางที่วัด
แม้ปัจจุบันจะไม่มีการปฎิบัติเช่นนี้แล้ว แต่เนื่องด้วยชื่อเสียงโด่งดังในอดีตทำให้มีพุทธศาสนิกทั่วโลกถวายองค์พระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานในวัดแห่งนี้ รวมถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในหลวงรัชกาลที่ 9 ก็ทรงพระราชทานพระพุทธรูปเพื่อประดิษฐานในวัดนี้เช่นกัน
แต่อย่างไรก็ดีมีการให้สามัญชนทัวริส ไทยแลนด์สามารถร่วมทำบุญกับทางวัดได้โดยซื้อแผ่นกระเบื้อง(แทนหิน)เขียนคำอธิษฐานขอพร ฉะนั้นเด็กไทยมือบอนอย่าไปเที่ยวเขียนตามผนังวัดนะคะ ที่นี้เขามีให้ซื้อกระเบื้อง อยากจะเขียนอะไรให้เขียนลงกระเบื้อง นอกจากจะช่วยรักษาความสะอาดของวัดแล้วยังได้บุญอีกด้วยนะเอ่อ
การที่จะขึ้นไปเยี่ยมชมพระพุทธรุป เจดีย์ของวัดนั้นต้องทำการเดินขึ้นเขา ขึ้นบันได ฉะนั้นใครที่จะมาเยี่ยมชมวัดแห่งนี้จงเตรียมรองเท้าของท่านให้พร้อม เส้นทางช่างยาวไกลเป็นเครื่องพิสูจน์ศรัทธาและจิตมุ่งมั่นในการถ่ายภาพของท่านได้อย่างน่าดีชม
ว่าแล้วเราก็ค่อยๆไต่ขึ้นเนินเขาไปทีละนิด เดินไปถ่ายรูปไปพลางแต่อนิจจาเมื่อถึงด้านบน แบ็ตกล้องหมด!!! กรี๊ด!!! แบ็ตสำรองอยู่ในกระเป๋าใต้รถทัวร์ ด้วยสปริตแรงกล้าจึงกัดฟันเดินลงไปเปลี่ยนแบ็ตแต่ครั้นพอเดินกลับขึ้นมาได้แค่ครึ่งทางก็ถอดใจ ได้เห็นกับตาก็อิ่มใจแล้วแม้จะไม่มีรูปมาฝากท่านผู้ชมก็ตาม ... และนี่คือรูปบางส่วนที่ทันถ่ายก่อนแบ็ตหมดค่ะ
ทางเดินเนินขึ้นเขา |
ระหว่างทางเดินขึ้นบันได |
พบกับร้านเปิดท้ายขาย "เชอร์รี่"
ระหว่างทางไปร้านอาหารก็พบกับ คุณลุงหน้าตาใจดี ท่าทางน่าไว้วางใจ น่าจะสามารถการันตีความอร่อยของเชอร์รี่ได้ หลังจากเดินวนไปมาสักพัก ก็ตัดสินใจซื้อโดยอาศัยหน้าตาคนขายที่น่าเชื่อถือประกอบกับความอยากกินควักเงินออกมา 8,000 วอนเพื่อซื้อเชอร์รี่สดมาลองชิม
พี่ไกด์เกาหลีแอบบอกว่าแพงนะคะ แต่พี่ดันบอกตอนซื้อเสร็จแล้วเนี้ยนะ แต่คิดซะว่าเรามาเทียวค่ะ จะมัวแต่คอยหยิบเครื่องคิดเลขมาจิ้มๆตลอดเวลา ทริปเที่ยวก็คงหมดสนุกกันพอดี ขอเพียงแค่อย่าเผลอตัวไปซื้ออะไรที่ไร้สาระ ไม่มีประโยชน์ก็แล้วกัน ... ซึ่งเชอร์รี่สดราคา 8,000 วอนกล่องนี้ ไม่ผิดหวังค่ะ อร่อยหวานฉ่ำมาก
และแล้วก็เหลือบเห็นรถยี่ห้อ ฮุนได อีกแล้ว!!! เราสังเกตค่ะว่าไม่ว่าจะไปที่ไหนไม่ว่าจะในหรือนอกเมือง ท่านจะสามารถพบรถเพียง 3 ยี่ห้อเท่านั้นในประเทศเกาหลีใต้คือ "ฮุนได""KIA"และ"BMW" เท่านั้นซึ่งโทนสีส่วนใหญ่ออกไปทาง ดำ กับ ขาว ...
แปลกใจมากค่ะ เลยถามพี่ไกด์เกาหลี พี่เค้าก็เล่าให้ฟังว่า อย่างแรกเลย คนเกาหลีเค้าไม่ใช้ "ของญี่ปุ่น"ค่ะ ฉะนั้นคุณจะไม่สามารถพบ ฮอนด้า ยามาฮ่าหรือซูซูกิที่เกาหลีเลย สองคือ เนื่องจากประเทศเกาหลีใต้เป็นเกาะถูกล้อมรอบด้วยทะเล ไอทะเลจะกัดกร่อนเหล็กฉะนั้นรถที่ไม่คุณภาพจะผุพังเสียง่าย ฉะนั้นรถที่พวกเขาไว้ใจจึงมีอยู่เท่านี้ ... พี่ไกด์ปิดท้ายว่า จริงๆแล้วไม่ใช่เพียงแค่ 3 ยี่ห้อเท่านั้นแต่มีถึง 4 ยี่ห้อด้วยกัน!!! ลองเดาซิคะว่ายี่ห้อสุดท้ายคืออะไร ??
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
.
ยี่ห้อ SAMSUNG เจ้าค่ะ
ห๊า!?! ใช่ค่ะ ตราสัญลักษณ์จะเป็นรูปอักษร A (ซึ่งเราพยายามมองหาแต่ก็ไม่เจอ)
ซัมซุงเค้าขายสมาร์ทโฟนไม่ใช่หรือ? พี่ไกด์เล่าว่าเนื่องจากเจ้าของซัมซุงเป็นคนเกาหลีใต้ บริษัทซัมซุงจึงรับหน้าที่ผลิตสินค้าส่วนใหญ่ในประเทศตั้งแต่ เครื่องมือสื่อสาร รถยนต์ ไปจนถึงโรงแรม โรงพยาบาล รวมทั้งสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอย่างยางจิไพน์ สกีรีสอร์ทและสวนสนุกเอเวอร์แลนด์เป้าหมายต่อไปของเราก็เป็นของบริษัทซัมซุงนะคะ
พี่แกเล่าว่าลูกชายเจ้าของบริษัทตกหลุมรักกับอดีตนางงามสาวเกาหลี แต่เนื่องจากครอบครัวไม่ยอมรับ สาวเจ้าต้องการพิสูจน์ตัวเองจึงยืมเงินสามีมาลงทุนสร้างแอเวอร์แลนด์ ตอนแรกคนก็หัวเราะเยาะ แต่ใครจะรู้ว่า แอเวอร์แลนด์กลายเป็นสวนสนุกที่ใหญ่ที่สุด เป็นสถานที่ท่องเที่ยวไฮไลท์คู่เกาหลีใต้ นักท่องเที่ยวไม่ว่าเกาหลีหรือต่างชาติพร้อมใจเดินทางมาเยี่ยมชมไม่ขาดสาย
... อ่อ ปัจจุบัน สาวเจ้าหย่ากับลูกชายเจ้าของซัมซุงแล้วนะคะ ...
แต่อย่างไรก็ดี !!!
"กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" หลังจากใช้เวลาเที่ยวชมวัดประมาณ 1 ชั่วโมงก็กระโดดขึ้นรถทัวร์เพื่อตรงไปร้านอาหาร (ยิ้มกว้าง) และสวนสนุกเอเวอร์แลนด์ปิดท้ายด้วยตลาดทงแดมุนต่อไป
อ่านตอนต่อไปคลิ๊ก เที่ยวเกาหลี ตอนสาม
เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!! คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วยเที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริปบุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย
วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น