เที่ยวเกาหลีตอนที่ 4 : พระราชวังเคียงบ๊อก ชาบูสไตล์เกาหลี

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

หลังจาก เที่ยวเกาหลี ตอนสาม เรามาว่าด้วยที่พักและโรงแรมในเกาหลีกัน ... โรงแรมส่วนใหญ่ที่นี่ ภายในห้องจะถูกควบคุมด้วยระบบ Universal Remote หรือรีโมทครอบจักรวาล กล่าวคือเจ้ารีโมทอันยาวอันเดียวนี้สามารถใช้ควบคุมวงจรไฟฟ้าทั้งห้อง ตั้งแต่ทีวี แอร์ ไฟระเบียง ไฟห้องกลาง ไฟห้องห้องน้ำและโคมไฟหัวเตียง แต่ความสนุกสนานไม่ได้จบลงเท่านั้น เนื่องจากรีโมท(ทุกโรงแรมที่พัก)มีแต่ภาษาเกาหลีล้วนๆ!! ...กดมั่วสนุกสนาน... กว่าจะปรับตัวให้เข้ากับรีโมทเจ้าปัญหาได้ก็ใช้เวลาอยู่นานโข

ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซด์โรงแรม
หลังจากเดินทางเข้าเมืองหลวง เราก็ได้เข้าพักที่โรงแรม Chocolate Hotel ในย่านกังนัม กรุงโซล ขอแนะนำสั้นๆว่า กรุงโซลจะแบ่งเป็นสองฟากค่ะ คือฟากโซลและฟากกังนัมโดยมีแม่น้ำฮันคั่นกลาง ก็คล้ายๆกับกรุงเทพมหานครที่มีฝั่งธน กับฝั่งพระนครโดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลางนั้นแล

โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวทั่วมุมโลก ไม่เชื่อลองเซิร์จดูรีวิวของโรงแรมแห่งนี้ได้ (ในพันทิปก็มี หุหุ) ไปกับทัวร์ ทัวร์จัดให้ได้อยู่โรงแรมดี พักสบายคลายเหนื่อยได้เป็นอย่างดี ส่วนอาหารเช้าส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นข้าวต้ม กิมจิและซุปสาหร่าย วันแรกๆก็อร่อยดีแต่พอนานวันก็จืดปากจืดคอคิดถึงผัดกระเพรา แพนงหมูข้าวสวย

กระแสไฟฟ้าที่เกาหลีคือ 110 V เหมือนประเทศไทยฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพก Adapter แปลงไฟไป แต่เนื่องจากหัวปลั๊กเกาหลีเป็นแบบขากลมสองหลุม (ไทยขาแบนสองหลุม) เพื่อความสะดวกก็สามารถพก Universal Plug แบบในภาพไปใช้ด้วยก็ได้ หรือจะ "เช่า" หัวปลั๊กที่โรงแรมก็ได้ วางมัดจำเพียง 5,000 วอน

สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีบริการ Free Wifi สำหรับนักท่องเที่ยวแต่คงเนื่องจากมีคนใช้บริการเยอะ ความเร็วจึงอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่ต้องกังวลเพราะทุกโรงแรมมีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แถมรถทัวร์ของบริษัทนำเที่ยวเกาหลีมี Wifi เคลื่อนที่ด้วย!!! 

เที่ยวเสร็จปุ๊บ ขึ้นรถทัวร์ ลงรูปปั๊บ!!! ถูกใจวัยรุ่น ฉะนั้นตลอดการเดินทางมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมไม่น่าเบื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็ผล๊อยหลับตลอดทางเพราะเหนื่อยกับการเดินเที่ยว

เช้าวันนี้เราออกเดินทางจากเขตกังนัม ข้ามแม่น้ำฮันสู่เขตโซลเพื่อเข้าเยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อก (หรือเคียงบ๊กคุ)!!!
ขณะเดินทางเลียบแม่น้ำฮัน เพื่อเดินทางเข้าสู่ใจกลางกรุงโซล








ใช้เวลาสักพักก็เดินทางมาถึงบริเวณที่ตั้งของพระราชวังเคียงบ๊อก แต่เพราะด้วยเหตุผลกลอันใดสักอย่าง วันนี้ทั้งสองข้างทางพบกับตำรวจเกาหลี!!! เดินเรียงรายล้อมรอบบริเวณพระราชวัง สงสัยวันนี้ต้องมีเหตุการณ์พิเศษอะไรสักอย่างแน่ๆและแล้วพี่ไกด์เกาหลีก็ชวนคุยเรื่อง "ตำรวจเกาหลี"

ตำรวจก็เยอะ นักท่องเที่ยวก็แยะ ทำทัวร์ไทยปวดหัว
เป็นอันทราบกันดีว่า ชายเกาหลีทุกคนต้องผ่านการเกณฑ์ทหารเว้นแต่คุณจะเป็นดาราคุณภาพผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศอย่างล้นหลาม คุณก็จะได้รับการยกเว้น แต่หากคุณเป็นเพียงสามัญชนเดินดินก็คงไม่พ้นต้องตัดผมเกรียนไปรับใช้ชาติ (ประเทศเค้าไม่มีเรียน รด. นะเอ่อ)

แต่ก็มิได้หมายความว่าชายหนุ่มทุกคนต้องรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเสมอไป คุณสามารถสมัครเข้าเป็น "เจ้าหน้าที่ตำรวจ"ก็ได้เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้สมัครเข้าเป็นตำรวจจะเป็นเด็กหนุ่มที่สายตาสั้นหรือร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเด็กหนุ่มเกาหลีจะไม่สามารถใช้ข้ออ้างเรื่องร่างกายอ่อนแอเพื่อไม่เข้าเกณฑ์ทหารไม่ได้ (เหมือนดาราไทย ? มิได้กล่าวหาผู้ใด) คงเป็นเพราะ หนึ่ง...ประเทศเกาหลีค่อนข้างชาตินิยม เมื่อเกิดเป็นชายชาติเกาหลีก็ต้องหาทางรับใช้ชาติไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และสอง...อาจเป็นเพราะประเทศเค้ามีพื้นที่จำกัด ประชากรค่อนข้างน้อยจึงต้องใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า เด็กหนุ่มทุกคนต้องช่วยกันไปเป็นกำลังของชาติ

.........................................

พระราชวังเคียงบ๊อก เป็นราชวังหลวงของกษัตริย์ยุคโชชอน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงบนแยกถนนที่มีรถพลุกพล่าน ใครที่ชมรายการเกาหลีหรือซีรีย์บ่อยครั้งต้องเคยผ่านตากับถนนเส้นนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นแยกใจกลางเมืองที่มีถนนยาวที่สุด รถพลุกพล่านมากที่สุดและเป็นถนนเส้นที่สวยที่สุด

ภาพฝากตรงข้ามกับพระราชวังเคียงบ๊อก
ณ แยกถนนที่สวยที่สุด หากมองไปจนสุดสายตาจะเห็นผู้คนมากมายเดินเล่นบนเกาะกลางถนน
แต่ละจุดบนเกาะกลางถนนจะประดับไปด้วยรูปปั้นกษัตริย์และนักปราชญ์คนสำคัญจากหลายยุคหลายสมัย 

แม้ว่าจะมีรถพลุกพล่าน แต่การจราจรก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย กว่าจะสามารถข้ามไปถนนไปยังที่จอดรถฝั่งตรงข้ามได้ก็ต้องเดินไปติดเกาะกลางถนนอยู่หลายเกาะกว่าจะถึงจุดหมายแต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะระหว่างทางไปเกาะ จะมีตำรวจจราจรผู้ใจดีคอยดูแลอยู่ตลอดทาง

พี่ไกด์เจ้าเดิมเล่าให้ฟังว่า พระราชวังแห่งนี้มากกว่า 80% เป็นการบูรณะสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้นเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งศิลปะโบราณ ... อย่างที่กล่าวไว้ข้าวต้นว่าวันนี้มีตำรวจหนุ่มเดินว่อน รถทัวร์จึงต้องอ้อมไกล ทัวร์ไทยต้องเริ่มเดินตั้งแต่ทางเข้าด้านหลังเขตพระราชวัง
ภาพจากด้านหลังเขตพระราชวัง                                              เนื่องจากมีการทาสีบูรณะใหม่ สีสันจึงสดใส
                                                                                                    (สีใหม่บนไม้เก่า)
ตำนักของพระมเหสี
(ซึ่งมีทางเดินเชื่อมตรงไปที่พระตำนักของกษัตริย์ด้านหน้า)







และแล้วหลังจากเดินผ่านพระตำนักของกษัตริย์ (รีบ...ไม่ทันถ่ายภาพมา) เราก็มาถึงโซนโถงหน้าท้องพระโรง เนื่องจากวันนั้นนักท่องเที่ยวเยอะมากๆๆๆ แถมฝนก็เริ่มโปรยปรายจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เก็บภาพสวยๆมามากนัก จึงต้องขอยืมรุปภาพจากโลกออนไลน์มาเล่าสู่กันฟัง

ภาพพระราชวังเคียงบ๊อก สถานที่จริง(ซ้าย) ภาพจากซีรีย์ The Moon that embrace the Sun(ขวา)




จะเห็นได้ว่าซีรีย์ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ก็นำแบบการสร้างฉากมาจากสถานที่จริงทั้งนั้น ใครที่ไปเยือนพระราชวังแห่งนี้ โดยเฉพาะสาวๆสามารถใช้จินตนาการอันแรงกล้า สมมุติตัวเองเป็นแม่หญิงยอนอูกำลังเดินทางเข้าเฝ้าฝ่าบาทสร้างความฟินเล่นๆก็ได้ ไม่เสียหาย

หน้าท้องพระโรงหลักจะมีบันไดหินแกะสลักสัตว์ในตำนาน จำลองภาพในวิมานเสมือนว่ากษัตริย์กำลังประทับในสรวงสวรรค์ ประชาชนผู้ต่ำต้อยสามารถเข้าเฝ้าได้เพียงบริเวณลานกว้างมิอาจย่ำกรายขึ้นมาบริเวณสวรรค์อันศักดิ์สิทธิได้

และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นแท่นหินวางเว้นระยะห่างเท่ากันๆกันวางอยู่ ตอนแรกก็นึกสงสัยแต่ก็ถึงบางอ้อในทันทีเนื่องจากสั่งสมประสบการณ์ในการดูซีรีย์ย้อนยุคเกาหลีมานักต่อนักว่า มันคือแท่นสำหรับแสดงจุดที่บรรดาขุนนางแต่ละต้องนั่งเข้าเฝ้านั้นเอง ขุนนางอยู่บริเวณหนึ่ง บัณฑิตหนุ่มอยู่อีกบริเวณหนึ่ง แบ่งฟากลดหลั่นตามยศฐาบรรดาศักดิ์ไปเรื่อยๆ ... แอบคิดในใจ การเข้าเฝ้ากษัตริย์คงลำบากน่าดู ในฤดูร้อนแดดก็แผดเผา ในฤดูหนาวหิมะก็คงตกเล่นงานทำให้หนาวจับขั้วหัวใจ
หลักฐานว่า นักท่องเที่ยวเยอะมาก 
คนข้างหลังเริ่มกางร่มกันฝนกันแล้ว
.........................................

ตอนนี้เราก็มายืนอยู่ตรงช่วงถัดออกมาจากส่วนท้องพระโรง ณ ส่วนหน้าของพระราชวัง ซึ่งเป็นทางเดินปูหินยาวไปจนถึงปากประตูพระราชวัง

ฝนเริ่มตกหนักขึ้น แต่ด้วยความกล้าแกร่งของหญิงไทย เรายังคงเดินหน้าหาจุดถ่ายรูปต่อไป ขณะที่เดินงุ่นง่านไปมาก็ได้ยินเสียงประกาศเริ่มจากภาษาเกาหลี >> จีน >> ญี่ปุ่น และปิดท้ายด้วยอังกฤษ ซึ่งกว่าจะถึงท่อนภาษาอังกฤษ กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ก็ใช้เวลาร่วมหลายนาที

สรุปใจความคือ ต่อไปนี้จะมีการเดินผลัดเวรของทหารยาม ขอความร่วมมือทุกท่านยืนชมอย่างสงบเรียบร้อยหลังแถบกั้นสีแดงด้วยนะคะ

ถ้าเราคิดถอดใจรีบเดินกลับไปหลบฝนที่รถทัวร์เราคงไม่ได้เห็นทหารเอกเดินผลัดยามอย่างแน่นอน ... ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาเยือนจะได้ชมการเดินขบวนแบบนี้ โชคดีจริงๆค่ะ ว่าแล้วก็รีบไปจับจองที่แล้วคว้ากล้องขึ้นถ่ายรูปรัวๆ

ทหารยามด้านนอก เดินนำขบวนเข้าสู่ลานกว้าง
เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลัดเวร


ในขบวนก็ประกอบไปด้วยทหารผู้ทำหน้าที่หลากหลาย
(แอบขำ พี่ทหารใส่หนวดปลอมทุกคน...จะได้ดูดุดันน่ากลัวมั้ง?)





ทหารยามชุดใหม่ ย่ำเท้าเข้ามาเตรียมพร้อมผลัดเวร


ต่อไปนี้ก็เริ่มพิธีการกล่าวปฎิญาณ...
ผลัดแลกเวรยามซึ่งมีคำบรรยายกล่าวขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันถึงสี่ภาษา ยอมรับว่าฟังไม่รู้เรื่องเพราะเสียงตีกันให้ยุ่งเหยิงไปหมดประกอบกับตอนน้้นคนเริ่มมามุงดูเยอะขึ้น เสียงนักท่องเที่ยวหลากหลายภาษาก็ตีกันจนมั่วชวนปวดหัว

ท้ายที่สุดแล้วการผลัดเวรยามก็เป็นไปด้วยดี พี่ชุดแดงเดินนำทหารกลับเข้าไปพักผ่อน ส่วนพี่ชุดน้ำเงินก็ย่ำเท้านำขบวนทหารชุดใหม่ออกไปเฝ้ายาม(ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป?)ด้านนอกต่อไป

สิ่งที่เราประทับใจจากการชมโชว์ผลัดเวรยามนี้คือ ในขณะที่เรากำลังยืนดูชายฉกรรจ์กว่า 30 ชีวิตในชุดย้อนยุค ถืออาวุธสมัยเก่า สวมหมวกขนนกยูงแฟชั่นเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมากำลังเดินสวนสนามบนลานที่มีฉากหลังที่ประกอบไปด้วยตึกสูงทันสมัย ผู้คนยุคใหม่แต่งกายตามสมัยนิยมกำลังชู้กล้องล้ำยุคถ่ายภาพ เหมือนกำลังมองโลกสองโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ณ สถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ... ไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์ได้เดินก้าวผ่านอดีตกาลมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยปี ณ จุดจุดหนึ่งเราเคยแต่งกายแบบนี้ เคยประพฤติปฎิบัติกันเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าในอนาคตอาจมีการจำลองการเข้าแถวซื้อสตาร์บัค จำลองการซื้อขายใน 7-11 ให้ลูกหลานเราดูก็เป็นได้

ส่งท้ายทหารกล้า ออกไปรับภารกิจเป็นหุ่นจำลองให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ


ก่อนที่เราจะจากพระราชวังเคียงบ๊อก ไปร้านอาหารกัน (ฮิฮิ) ขอพาทัวร์ไทยไปแวะชมเรือนกลางน้ำหลังนี้ค่ะ

ประวัติของเรือนหลังนี้ไม่ชัดเจนนักแต่ในปัจจุบันเรือนหลังเล็กโงนเงนหลังนี้(มองไปมองมา คล้ายบ้านทรงไทย) เป็นสถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้น จานชามศิลปะยุคเก่าได้ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมศิลปะอันล้ำค่าของเกาหลีขนาดย่อม เปิดให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจในศิลปะเข้าชมได้ค่ะ

จริงๆแล้วในเขตพระราชวังยังมีจุดสวยงามมากมาย แต่เนื่องด้วยไปกับทัวร์ เวลาจึงค่อนข้างจำกัดเพียงแค่เดินชมในจุดไฮไลท์ก็ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง สำหรับผู้ใดที่อยากมาเยี่ยมชม โปรดเตรียมรองเท้าของท่านให้พร้อม เนื่องจากท่านต้องเดินเที่ยวมาราธอนเท่านั้น ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อน่องได้ดีนักแล




.........................................
พาทุกคนไปรู้จักกับ ชาบูชาบู เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา!!!
มื้อนี้ เราให้ 5 ดาว !!!
ชาบูสไตล์เกาหลีของแท้ต้องประกอบไปด้วย เห็ดสดหลากชนิด, เส้นบุก, ถั่วงอกหัวโต(ชื่อพันธ์ุ)อร่อยกรุบกรอบและปิดท้ายด้วยหมูสไลด์บางชิ้นโต ... ในระหว่างที่เรารอให้น้ำเดือดได้ที่ ก็หันมาทำความรู้จักกับเครื่องเคียงในมื้อนี้กันค่ะ ได้แก่ลูกชิ้นปลา, ยำสาหร่ายเย็น, เส้นบุกสด(เคี้ยวมันทั้งแข็งๆกรอบๆแบบนั้นแหละ)และปิดท้ายด้วยกิมจิเจ้าประจำ



 ถ้าใครที่ดูรายการหรือซีรีย์เกาหลีบ่อยๆคงจะคลับคล้ายคลับคลากับเจ้าลูกชิ้นปลาสีเหลืองนี้ ไม่ผิดหรอกค่ะ จริงๆแล้วมันคือลูกชิ้นปลาแผ่นที่ปกติจะขายแบบชิ้นใหญ่เสียบไม้ที่พระเอกนางเอกมักจะยืนถือกินในซีรีย์ แต่เมื่อนำมาจัดขึ้นโต๊ะอาหาร เลยต้องทำให้ชิ้นเล็กลงพอดีคำ ... เราขอยกให้เจ้าลูกปลานี้เป็นเครื่องเคียงที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ได้ชิมอาหารเกาหลีมา มันหวานๆเค็มๆอร่อยดีค่ะ

ส่วนเจ้ายำสาหร่ายเย็นหน้าตาน่าทานใช่ย่อยเลยใช่มั้ยค่ะ พอคีบเข้าปากเท่านั้นแหละก็พบกว่ามันคือสาหร่ายในน้ำเกลือดีๆนี้เอง ถ้าให้เปรียบเทียบ เราคิดว่ายำสาหร่ายญี่ปุ่นอร่อยกว่าของเกาหลีหลายเท่า ส่วนบุกสดก็จื๊ดจืด โชคดีที่มีกิมจิและน้ำจิ้มพิเศษจากไทยแลนด์ช่วยชีวิตไว้

ยังค่ะ มื้อนี้ของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมี "ข้าวผัดสไตล์เกาหลี" เสิร์ฟเคียงคู่มากับชาบูอีกด้วย

ตอนแรกที่เห็น เรานึกว่ามันคือ บิบิมบับค่ะ แต่บิบิมบัมของจริงต้องมีไข่สดและผักสดเยอะกว่านี้ เจ้าข้าวผัดชามนี้ประกอบไปด้วยข้าว แครอท ถั่วงอก สาหร่ายสดและสาหร่ายแห้งผัดคลุกเคล้ากับข้าวเม็ดโตช่วยทำให้มื้อนี้อิ่มอร่อยอยู่ท้อง ... ตัวเราเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกินเก่งนะคะ แต่กลับทานเจ้าข้าวผัดชามนี้ไม่หมด เพราะข้าวสวยเกาหลีเม็ดใหญ่ เหนียว ใส่เข้าปากไม่กี่คำก็อืดบานในท้องไปอีกหลายชั่วโมง ... วนกลับมาที่เรื่องชาบู ชาบูนั้นมิได้มีเฉพาะชาบูหมูเท่านั้น ยังมีชาบูอีกมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชาบูเนื้อ ชาบูทะเล และที่เด็ดที่สุดคือชาบูที่รวมเอาสัตว์บกและสัตว์ทะเลเข้าด้วยกันออกมาเป็นชาบูหม้อไฟรูปร่างหน้าตาแบบนี้แล...

ชาบูหม้อนี้เป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนกลับไทยค่ะ
ช่วยสร้างความประทับใจก่อนเดินทางกลับได้อย่างดีเยี่ยม
มันก็คือ ชาบูหมู + ปลาหมึก !!!!

ก็แล้วไงล่ะก็แค่หมูกับปลาหมึกต้มรวมกัน ? ความอร่อยของหมูสไลด์คงไม่ต้องบรรยาย แต่ปลาหมึกนี้ซิ มันไม่ใช่แค่เอาปลาหมึกโง่ๆมาต้มธรรมดาๆ แต่เจ้าปลาหมึกในหม้อนี้ผ่านการปรุงรสมาด้วยซอสสูตรพิเศษ ทำให้รสของปลาหมึกอร่อยไม่จืดชืด อร่อยซู้ดๆทั้งหมู ทั้งปลาหมึกแถมผักบึ้มๆ แครอท หัวหอมชิ้นใหญ่ตบท้ายด้วยต้นหอมชิ้นโต ทานพร้อมข้าวสวย ... อร่อยเหาะ ...

หม้อไฟหมู featuring กับปลาหมึกนี้เสิร์ฟพร้อมกับ สาหร่ายอบกรอบ ถั่วงอกต้ม ผักบุ้งต้มเกลือ กิมจิและปิดท้ายด้วยน้ำจิ้มจากไทยแลนด์(อีกแล้ว) ... ถ้าใครสังเกต จะเห็นว่าชามส่วนใหญ่เป็นชามเหล็ก ทั้งช้อนและตะเกียบที่ใช้รับประทานทุกมื้อในทุกร้านอาหารนั้นก็เป็นแท่งยาวๆทำจากเหล็กหนักๆอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งเราก็ได้พยายามรวบรวมเหตุผลจากพี่ไกด์และจากการสังเกตการณ์จากซีรีย์ได้ว่า

เหตุที่ต้องใช้ช้อมและตะเกียบยาว เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่จะเสิร์ฟในหม้อร้อนๆและลึก ฉะนั้นต้องใช้ช้อนยาวๆลงไปตักอาหารขึ้นมาลองคิดภาพคนเกาหลีใช้ช้อนโต๊ะแบบคนไทยตักซุปร้อนๆจากหม้อดินซิคะ มือพองลอกเป็นแผลแน่นอน

พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่าก่อนทานข้าว คนเกาหลีจะเขย่าชามข้าวแรงๆเพื่อไม่ให้ข้าวติดก้นชามคล้ายกับปฎิฎาณว่าจะต้องกินข้าวให้หมดเกลี้ยงทุกเม็ด ซึ่งการใช้ชามเหล็กก็เป็นเครื่องช่วยไม่ให้ข้าวติดก้นชามอีกวิธีหนึ่งแถมช่วยรักษาความร้อนได้ดีอีกด้วย

ส่วนเหตุที่ใช้ช้อนและตะเกียบเหล็ก ... คงเอาไว้ทดสอบยาพิษมั้ง ? (เอามาจากซีรีย์) อย่างไรก็ดีครอบครัวเราสอยเครื่องเรือนชุดเหล็กจากเกาหลีมาหนึ่งชุด กลับมากินผัดกระเพราหมูกรอบประกอบกับช้อนยาวๆแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจยังไงชอบกล แต่ก็ต้องทนใช้เพราะซื้อมากว่าหมื่นวอน


วันสุดท้ายของการตะลอนเที่ยวกรุงโซล เราจะไปบุกหมู่บ้านโบราณ โซลทาวเวอร์และตลาดเมียงดงแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่น ... แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนหรือไม่ ? เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทัวร์ไทยจะทำอย่างไร ? ติดตามไปในตอนที่ห้า ตอนสุดท้ายนะคะ!!!

                                                                                                                                                              


เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!!                                                 คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วย
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ



เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง

เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริป
บุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย





วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ
                                                                                                                                                               

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น