หลังจาก เที่ยวเกาหลี ตอนสาม เรามาว่าด้วยที่พักและโรงแรมในเกาหลีกัน ... โรงแรมส่วนใหญ่ที่นี่ ภายในห้องจะถูกควบคุมด้วยระบบ Universal Remote หรือรีโมทครอบจักรวาล กล่าวคือเจ้ารีโมทอันยาวอันเดียวนี้สามารถใช้ควบคุมวงจรไฟฟ้าทั้งห้อง ตั้งแต่ทีวี แอร์ ไฟระเบียง ไฟห้องกลาง ไฟห้องห้องน้ำและโคมไฟหัวเตียง แต่ความสนุกสนานไม่ได้จบลงเท่านั้น เนื่องจากรีโมท(ทุกโรงแรมที่พัก)มีแต่ภาษาเกาหลีล้วนๆ!! ...กดมั่วสนุกสนาน... กว่าจะปรับตัวให้เข้ากับรีโมทเจ้าปัญหาได้ก็ใช้เวลาอยู่นานโข
ขอบคุณภาพประกอบจากเว็บไซด์โรงแรม |
หลังจากเดินทางเข้าเมืองหลวง เราก็ได้เข้าพักที่โรงแรม Chocolate Hotel ในย่านกังนัม กรุงโซล ขอแนะนำสั้นๆว่า กรุงโซลจะแบ่งเป็นสองฟากค่ะ คือฟากโซลและฟากกังนัมโดยมีแม่น้ำฮันคั่นกลาง ก็คล้ายๆกับกรุงเทพมหานครที่มีฝั่งธน กับฝั่งพระนครโดยมีแม่น้ำเจ้าพระยาคั่นกลางนั้นแล
โรงแรมนี้เป็นโรงแรมที่ได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากนักท่องเที่ยวทั่วมุมโลก ไม่เชื่อลองเซิร์จดูรีวิวของโรงแรมแห่งนี้ได้ (ในพันทิปก็มี หุหุ) ไปกับทัวร์ ทัวร์จัดให้ได้อยู่โรงแรมดี พักสบายคลายเหนื่อยได้เป็นอย่างดี ส่วนอาหารเช้าส่วนใหญ่ก็ไม่พ้นข้าวต้ม กิมจิและซุปสาหร่าย วันแรกๆก็อร่อยดีแต่พอนานวันก็จืดปากจืดคอคิดถึงผัดกระเพรา แพนงหมูข้าวสวย
กระแสไฟฟ้าที่เกาหลีคือ 110 V เหมือนประเทศไทยฉะนั้นไม่จำเป็นต้องพก Adapter แปลงไฟไป แต่เนื่องจากหัวปลั๊กเกาหลีเป็นแบบขากลมสองหลุม (ไทยขาแบนสองหลุม) เพื่อความสะดวกก็สามารถพก Universal Plug แบบในภาพไปใช้ด้วยก็ได้ หรือจะ "เช่า" หัวปลั๊กที่โรงแรมก็ได้ วางมัดจำเพียง 5,000 วอน
สถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่มีบริการ Free Wifi สำหรับนักท่องเที่ยวแต่คงเนื่องจากมีคนใช้บริการเยอะ ความเร็วจึงอยู่ในระดับต่ำแต่ไม่ต้องกังวลเพราะทุกโรงแรมมีบริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง แถมรถทัวร์ของบริษัทนำเที่ยวเกาหลีมี Wifi เคลื่อนที่ด้วย!!!
เที่ยวเสร็จปุ๊บ ขึ้นรถทัวร์ ลงรูปปั๊บ!!! ถูกใจวัยรุ่น ฉะนั้นตลอดการเดินทางมีเครื่องอำนวยความสะดวกพร้อมไม่น่าเบื่อ แต่ส่วนใหญ่ก็ผล๊อยหลับตลอดทางเพราะเหนื่อยกับการเดินเที่ยว
เช้าวันนี้เราออกเดินทางจากเขตกังนัม ข้ามแม่น้ำฮันสู่เขตโซลเพื่อเข้าเยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อก (หรือเคียงบ๊กคุ)!!!
ใช้เวลาสักพักก็เดินทางมาถึงบริเวณที่ตั้งของพระราชวังเคียงบ๊อก แต่เพราะด้วยเหตุผลกลอันใดสักอย่าง วันนี้ทั้งสองข้างทางพบกับตำรวจเกาหลี!!! เดินเรียงรายล้อมรอบบริเวณพระราชวัง สงสัยวันนี้ต้องมีเหตุการณ์พิเศษอะไรสักอย่างแน่ๆและแล้วพี่ไกด์เกาหลีก็ชวนคุยเรื่อง "ตำรวจเกาหลี"
เป็นอันทราบกันดีว่า ชายเกาหลีทุกคนต้องผ่านการเกณฑ์ทหารเว้นแต่คุณจะเป็นดาราคุณภาพผู้สร้างชื่อเสียงให้แก่ประเทศอย่างล้นหลาม คุณก็จะได้รับการยกเว้น แต่หากคุณเป็นเพียงสามัญชนเดินดินก็คงไม่พ้นต้องตัดผมเกรียนไปรับใช้ชาติ (ประเทศเค้าไม่มีเรียน รด. นะเอ่อ)
แต่ก็มิได้หมายความว่าชายหนุ่มทุกคนต้องรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเสมอไป คุณสามารถสมัครเข้าเป็น "เจ้าหน้าที่ตำรวจ"ก็ได้เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้สมัครเข้าเป็นตำรวจจะเป็นเด็กหนุ่มที่สายตาสั้นหรือร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเด็กหนุ่มเกาหลีจะไม่สามารถใช้ข้ออ้างเรื่องร่างกายอ่อนแอเพื่อไม่เข้าเกณฑ์ทหารไม่ได้ (เหมือนดาราไทย ? มิได้กล่าวหาผู้ใด) คงเป็นเพราะ หนึ่ง...ประเทศเกาหลีค่อนข้างชาตินิยม เมื่อเกิดเป็นชายชาติเกาหลีก็ต้องหาทางรับใช้ชาติไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และสอง...อาจเป็นเพราะประเทศเค้ามีพื้นที่จำกัด ประชากรค่อนข้างน้อยจึงต้องใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า เด็กหนุ่มทุกคนต้องช่วยกันไปเป็นกำลังของชาติ
.........................................
พระราชวังเคียงบ๊อก เป็นราชวังหลวงของกษัตริย์ยุคโชชอน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงบนแยกถนนที่มีรถพลุกพล่าน ใครที่ชมรายการเกาหลีหรือซีรีย์บ่อยครั้งต้องเคยผ่านตากับถนนเส้นนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นแยกใจกลางเมืองที่มีถนนยาวที่สุด รถพลุกพล่านมากที่สุดและเป็นถนนเส้นที่สวยที่สุด
แม้ว่าจะมีรถพลุกพล่าน แต่การจราจรก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย กว่าจะสามารถข้ามไปถนนไปยังที่จอดรถฝั่งตรงข้ามได้ก็ต้องเดินไปติดเกาะกลางถนนอยู่หลายเกาะกว่าจะถึงจุดหมายแต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะระหว่างทางไปเกาะ จะมีตำรวจจราจรผู้ใจดีคอยดูแลอยู่ตลอดทาง
พี่ไกด์เจ้าเดิมเล่าให้ฟังว่า พระราชวังแห่งนี้มากกว่า 80% เป็นการบูรณะสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้นเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งศิลปะโบราณ ... อย่างที่กล่าวไว้ข้าวต้นว่าวันนี้มีตำรวจหนุ่มเดินว่อน รถทัวร์จึงต้องอ้อมไกล ทัวร์ไทยต้องเริ่มเดินตั้งแต่ทางเข้าด้านหลังเขตพระราชวัง
และแล้วหลังจากเดินผ่านพระตำนักของกษัตริย์ (รีบ...ไม่ทันถ่ายภาพมา) เราก็มาถึงโซนโถงหน้าท้องพระโรง เนื่องจากวันนั้นนักท่องเที่ยวเยอะมากๆๆๆ แถมฝนก็เริ่มโปรยปรายจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เก็บภาพสวยๆมามากนัก จึงต้องขอยืมรุปภาพจากโลกออนไลน์มาเล่าสู่กันฟัง
จะเห็นได้ว่าซีรีย์ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ก็นำแบบการสร้างฉากมาจากสถานที่จริงทั้งนั้น ใครที่ไปเยือนพระราชวังแห่งนี้ โดยเฉพาะสาวๆสามารถใช้จินตนาการอันแรงกล้า สมมุติตัวเองเป็นแม่หญิงยอนอูกำลังเดินทางเข้าเฝ้าฝ่าบาทสร้างความฟินเล่นๆก็ได้ ไม่เสียหาย
หน้าท้องพระโรงหลักจะมีบันไดหินแกะสลักสัตว์ในตำนาน จำลองภาพในวิมานเสมือนว่ากษัตริย์กำลังประทับในสรวงสวรรค์ ประชาชนผู้ต่ำต้อยสามารถเข้าเฝ้าได้เพียงบริเวณลานกว้างมิอาจย่ำกรายขึ้นมาบริเวณสวรรค์อันศักดิ์สิทธิได้
และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นแท่นหินวางเว้นระยะห่างเท่ากันๆกันวางอยู่ ตอนแรกก็นึกสงสัยแต่ก็ถึงบางอ้อในทันทีเนื่องจากสั่งสมประสบการณ์ในการดูซีรีย์ย้อนยุคเกาหลีมานักต่อนักว่า มันคือแท่นสำหรับแสดงจุดที่บรรดาขุนนางแต่ละต้องนั่งเข้าเฝ้านั้นเอง ขุนนางอยู่บริเวณหนึ่ง บัณฑิตหนุ่มอยู่อีกบริเวณหนึ่ง แบ่งฟากลดหลั่นตามยศฐาบรรดาศักดิ์ไปเรื่อยๆ ... แอบคิดในใจ การเข้าเฝ้ากษัตริย์คงลำบากน่าดู ในฤดูร้อนแดดก็แผดเผา ในฤดูหนาวหิมะก็คงตกเล่นงานทำให้หนาวจับขั้วหัวใจ
.........................................
ตอนนี้เราก็มายืนอยู่ตรงช่วงถัดออกมาจากส่วนท้องพระโรง ณ ส่วนหน้าของพระราชวัง ซึ่งเป็นทางเดินปูหินยาวไปจนถึงปากประตูพระราชวัง
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น แต่ด้วยความกล้าแกร่งของหญิงไทย เรายังคงเดินหน้าหาจุดถ่ายรูปต่อไป ขณะที่เดินงุ่นง่านไปมาก็ได้ยินเสียงประกาศเริ่มจากภาษาเกาหลี >> จีน >> ญี่ปุ่น และปิดท้ายด้วยอังกฤษ ซึ่งกว่าจะถึงท่อนภาษาอังกฤษ กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ก็ใช้เวลาร่วมหลายนาที
สรุปใจความคือ ต่อไปนี้จะมีการเดินผลัดเวรของทหารยาม ขอความร่วมมือทุกท่านยืนชมอย่างสงบเรียบร้อยหลังแถบกั้นสีแดงด้วยนะคะ
ถ้าเราคิดถอดใจรีบเดินกลับไปหลบฝนที่รถทัวร์เราคงไม่ได้เห็นทหารเอกเดินผลัดยามอย่างแน่นอน ... ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาเยือนจะได้ชมการเดินขบวนแบบนี้ โชคดีจริงๆค่ะ ว่าแล้วก็รีบไปจับจองที่แล้วคว้ากล้องขึ้นถ่ายรูปรัวๆ
ต่อไปนี้ก็เริ่มพิธีการกล่าวปฎิญาณ...
ผลัดแลกเวรยามซึ่งมีคำบรรยายกล่าวขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันถึงสี่ภาษา ยอมรับว่าฟังไม่รู้เรื่องเพราะเสียงตีกันให้ยุ่งเหยิงไปหมดประกอบกับตอนน้้นคนเริ่มมามุงดูเยอะขึ้น เสียงนักท่องเที่ยวหลากหลายภาษาก็ตีกันจนมั่วชวนปวดหัว
ท้ายที่สุดแล้วการผลัดเวรยามก็เป็นไปด้วยดี พี่ชุดแดงเดินนำทหารกลับเข้าไปพักผ่อน ส่วนพี่ชุดน้ำเงินก็ย่ำเท้านำขบวนทหารชุดใหม่ออกไปเฝ้ายาม(ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป?)ด้านนอกต่อไป
สิ่งที่เราประทับใจจากการชมโชว์ผลัดเวรยามนี้คือ ในขณะที่เรากำลังยืนดูชายฉกรรจ์กว่า 30 ชีวิตในชุดย้อนยุค ถืออาวุธสมัยเก่า สวมหมวกขนนกยูงแฟชั่นเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมากำลังเดินสวนสนามบนลานที่มีฉากหลังที่ประกอบไปด้วยตึกสูงทันสมัย ผู้คนยุคใหม่แต่งกายตามสมัยนิยมกำลังชู้กล้องล้ำยุคถ่ายภาพ เหมือนกำลังมองโลกสองโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ณ สถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ... ไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์ได้เดินก้าวผ่านอดีตกาลมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยปี ณ จุดจุดหนึ่งเราเคยแต่งกายแบบนี้ เคยประพฤติปฎิบัติกันเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าในอนาคตอาจมีการจำลองการเข้าแถวซื้อสตาร์บัค จำลองการซื้อขายใน 7-11 ให้ลูกหลานเราดูก็เป็นได้
ก่อนที่เราจะจากพระราชวังเคียงบ๊อก ไปร้านอาหารกัน (ฮิฮิ) ขอพาทัวร์ไทยไปแวะชมเรือนกลางน้ำหลังนี้ค่ะ
ประวัติของเรือนหลังนี้ไม่ชัดเจนนักแต่ในปัจจุบันเรือนหลังเล็กโงนเงนหลังนี้(มองไปมองมา คล้ายบ้านทรงไทย) เป็นสถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้น จานชามศิลปะยุคเก่าได้ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมศิลปะอันล้ำค่าของเกาหลีขนาดย่อม เปิดให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจในศิลปะเข้าชมได้ค่ะ
จริงๆแล้วในเขตพระราชวังยังมีจุดสวยงามมากมาย แต่เนื่องด้วยไปกับทัวร์ เวลาจึงค่อนข้างจำกัดเพียงแค่เดินชมในจุดไฮไลท์ก็ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง สำหรับผู้ใดที่อยากมาเยี่ยมชม โปรดเตรียมรองเท้าของท่านให้พร้อม เนื่องจากท่านต้องเดินเที่ยวมาราธอนเท่านั้น ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อน่องได้ดีนักแล
.........................................
พาทุกคนไปรู้จักกับ ชาบูชาบู เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา!!!
ชาบูสไตล์เกาหลีของแท้ต้องประกอบไปด้วย เห็ดสดหลากชนิด, เส้นบุก, ถั่วงอกหัวโต(ชื่อพันธ์ุ)อร่อยกรุบกรอบและปิดท้ายด้วยหมูสไลด์บางชิ้นโต ... ในระหว่างที่เรารอให้น้ำเดือดได้ที่ ก็หันมาทำความรู้จักกับเครื่องเคียงในมื้อนี้กันค่ะ ได้แก่ลูกชิ้นปลา, ยำสาหร่ายเย็น, เส้นบุกสด(เคี้ยวมันทั้งแข็งๆกรอบๆแบบนั้นแหละ)และปิดท้ายด้วยกิมจิเจ้าประจำ
ถ้าใครที่ดูรายการหรือซีรีย์เกาหลีบ่อยๆคงจะคลับคล้ายคลับคลากับเจ้าลูกชิ้นปลาสีเหลืองนี้ ไม่ผิดหรอกค่ะ จริงๆแล้วมันคือลูกชิ้นปลาแผ่นที่ปกติจะขายแบบชิ้นใหญ่เสียบไม้ที่พระเอกนางเอกมักจะยืนถือกินในซีรีย์ แต่เมื่อนำมาจัดขึ้นโต๊ะอาหาร เลยต้องทำให้ชิ้นเล็กลงพอดีคำ ... เราขอยกให้เจ้าลูกปลานี้เป็นเครื่องเคียงที่อร่อยที่สุดตั้งแต่ได้ชิมอาหารเกาหลีมา มันหวานๆเค็มๆอร่อยดีค่ะ
ส่วนเจ้ายำสาหร่ายเย็นหน้าตาน่าทานใช่ย่อยเลยใช่มั้ยค่ะ พอคีบเข้าปากเท่านั้นแหละก็พบกว่ามันคือสาหร่ายในน้ำเกลือดีๆนี้เอง ถ้าให้เปรียบเทียบ เราคิดว่ายำสาหร่ายญี่ปุ่นอร่อยกว่าของเกาหลีหลายเท่า ส่วนบุกสดก็จื๊ดจืด โชคดีที่มีกิมจิและน้ำจิ้มพิเศษจากไทยแลนด์ช่วยชีวิตไว้
ยังค่ะ มื้อนี้ของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมี "ข้าวผัดสไตล์เกาหลี" เสิร์ฟเคียงคู่มากับชาบูอีกด้วย
ตอนแรกที่เห็น เรานึกว่ามันคือ บิบิมบับค่ะ แต่บิบิมบัมของจริงต้องมีไข่สดและผักสดเยอะกว่านี้ เจ้าข้าวผัดชามนี้ประกอบไปด้วยข้าว แครอท ถั่วงอก สาหร่ายสดและสาหร่ายแห้งผัดคลุกเคล้ากับข้าวเม็ดโตช่วยทำให้มื้อนี้อิ่มอร่อยอยู่ท้อง ... ตัวเราเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกินเก่งนะคะ แต่กลับทานเจ้าข้าวผัดชามนี้ไม่หมด เพราะข้าวสวยเกาหลีเม็ดใหญ่ เหนียว ใส่เข้าปากไม่กี่คำก็อืดบานในท้องไปอีกหลายชั่วโมง ... วนกลับมาที่เรื่องชาบู ชาบูนั้นมิได้มีเฉพาะชาบูหมูเท่านั้น ยังมีชาบูอีกมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชาบูเนื้อ ชาบูทะเล และที่เด็ดที่สุดคือชาบูที่รวมเอาสัตว์บกและสัตว์ทะเลเข้าด้วยกันออกมาเป็นชาบูหม้อไฟรูปร่างหน้าตาแบบนี้แล...
มันก็คือ ชาบูหมู + ปลาหมึก !!!!
ก็แล้วไงล่ะก็แค่หมูกับปลาหมึกต้มรวมกัน ? ความอร่อยของหมูสไลด์คงไม่ต้องบรรยาย แต่ปลาหมึกนี้ซิ มันไม่ใช่แค่เอาปลาหมึกโง่ๆมาต้มธรรมดาๆ แต่เจ้าปลาหมึกในหม้อนี้ผ่านการปรุงรสมาด้วยซอสสูตรพิเศษ ทำให้รสของปลาหมึกอร่อยไม่จืดชืด อร่อยซู้ดๆทั้งหมู ทั้งปลาหมึกแถมผักบึ้มๆ แครอท หัวหอมชิ้นใหญ่ตบท้ายด้วยต้นหอมชิ้นโต ทานพร้อมข้าวสวย ... อร่อยเหาะ ...
หม้อไฟหมู featuring กับปลาหมึกนี้เสิร์ฟพร้อมกับ สาหร่ายอบกรอบ ถั่วงอกต้ม ผักบุ้งต้มเกลือ กิมจิและปิดท้ายด้วยน้ำจิ้มจากไทยแลนด์(อีกแล้ว) ... ถ้าใครสังเกต จะเห็นว่าชามส่วนใหญ่เป็นชามเหล็ก ทั้งช้อนและตะเกียบที่ใช้รับประทานทุกมื้อในทุกร้านอาหารนั้นก็เป็นแท่งยาวๆทำจากเหล็กหนักๆอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งเราก็ได้พยายามรวบรวมเหตุผลจากพี่ไกด์และจากการสังเกตการณ์จากซีรีย์ได้ว่า
เหตุที่ต้องใช้ช้อมและตะเกียบยาว เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่จะเสิร์ฟในหม้อร้อนๆและลึก ฉะนั้นต้องใช้ช้อนยาวๆลงไปตักอาหารขึ้นมาลองคิดภาพคนเกาหลีใช้ช้อนโต๊ะแบบคนไทยตักซุปร้อนๆจากหม้อดินซิคะ มือพองลอกเป็นแผลแน่นอน
พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่าก่อนทานข้าว คนเกาหลีจะเขย่าชามข้าวแรงๆเพื่อไม่ให้ข้าวติดก้นชามคล้ายกับปฎิฎาณว่าจะต้องกินข้าวให้หมดเกลี้ยงทุกเม็ด ซึ่งการใช้ชามเหล็กก็เป็นเครื่องช่วยไม่ให้ข้าวติดก้นชามอีกวิธีหนึ่งแถมช่วยรักษาความร้อนได้ดีอีกด้วย
ส่วนเหตุที่ใช้ช้อนและตะเกียบเหล็ก ... คงเอาไว้ทดสอบยาพิษมั้ง ? (เอามาจากซีรีย์) อย่างไรก็ดีครอบครัวเราสอยเครื่องเรือนชุดเหล็กจากเกาหลีมาหนึ่งชุด กลับมากินผัดกระเพราหมูกรอบประกอบกับช้อนยาวๆแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจยังไงชอบกล แต่ก็ต้องทนใช้เพราะซื้อมากว่าหมื่นวอน
วันสุดท้ายของการตะลอนเที่ยวกรุงโซล เราจะไปบุกหมู่บ้านโบราณ โซลทาวเวอร์และตลาดเมียงดงแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่น ... แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนหรือไม่ ? เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทัวร์ไทยจะทำอย่างไร ? ติดตามไปในตอนที่ห้า ตอนสุดท้ายนะคะ!!!
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริปบุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย
ตำรวจก็เยอะ นักท่องเที่ยวก็แยะ ทำทัวร์ไทยปวดหัว |
แต่ก็มิได้หมายความว่าชายหนุ่มทุกคนต้องรับใช้ชาติด้วยการเป็นทหารเสมอไป คุณสามารถสมัครเข้าเป็น "เจ้าหน้าที่ตำรวจ"ก็ได้เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่ผู้สมัครเข้าเป็นตำรวจจะเป็นเด็กหนุ่มที่สายตาสั้นหรือร่างกายไม่ค่อยแข็งแรง ดังนั้นเด็กหนุ่มเกาหลีจะไม่สามารถใช้ข้ออ้างเรื่องร่างกายอ่อนแอเพื่อไม่เข้าเกณฑ์ทหารไม่ได้ (เหมือนดาราไทย ? มิได้กล่าวหาผู้ใด) คงเป็นเพราะ หนึ่ง...ประเทศเกาหลีค่อนข้างชาตินิยม เมื่อเกิดเป็นชายชาติเกาหลีก็ต้องหาทางรับใช้ชาติไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง และสอง...อาจเป็นเพราะประเทศเค้ามีพื้นที่จำกัด ประชากรค่อนข้างน้อยจึงต้องใช้ทรัพยากรที่มีอย่างคุ้มค่า เด็กหนุ่มทุกคนต้องช่วยกันไปเป็นกำลังของชาติ
.........................................
พระราชวังเคียงบ๊อก เป็นราชวังหลวงของกษัตริย์ยุคโชชอน ตั้งอยู่ใจกลางเมืองหลวงบนแยกถนนที่มีรถพลุกพล่าน ใครที่ชมรายการเกาหลีหรือซีรีย์บ่อยครั้งต้องเคยผ่านตากับถนนเส้นนี้อย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นแยกใจกลางเมืองที่มีถนนยาวที่สุด รถพลุกพล่านมากที่สุดและเป็นถนนเส้นที่สวยที่สุด
แม้ว่าจะมีรถพลุกพล่าน แต่การจราจรก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย กว่าจะสามารถข้ามไปถนนไปยังที่จอดรถฝั่งตรงข้ามได้ก็ต้องเดินไปติดเกาะกลางถนนอยู่หลายเกาะกว่าจะถึงจุดหมายแต่ไม่ต้องเป็นห่วงเพราะระหว่างทางไปเกาะ จะมีตำรวจจราจรผู้ใจดีคอยดูแลอยู่ตลอดทาง
พี่ไกด์เจ้าเดิมเล่าให้ฟังว่า พระราชวังแห่งนี้มากกว่า 80% เป็นการบูรณะสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งสิ้นเพื่อเป็นการคงไว้ซึ่งศิลปะโบราณ ... อย่างที่กล่าวไว้ข้าวต้นว่าวันนี้มีตำรวจหนุ่มเดินว่อน รถทัวร์จึงต้องอ้อมไกล ทัวร์ไทยต้องเริ่มเดินตั้งแต่ทางเข้าด้านหลังเขตพระราชวัง
ภาพจากด้านหลังเขตพระราชวัง เนื่องจากมีการทาสีบูรณะใหม่ สีสันจึงสดใส (สีใหม่บนไม้เก่า) |
ตำนักของพระมเหสี (ซึ่งมีทางเดินเชื่อมตรงไปที่พระตำนักของกษัตริย์ด้านหน้า) |
และแล้วหลังจากเดินผ่านพระตำนักของกษัตริย์ (รีบ...ไม่ทันถ่ายภาพมา) เราก็มาถึงโซนโถงหน้าท้องพระโรง เนื่องจากวันนั้นนักท่องเที่ยวเยอะมากๆๆๆ แถมฝนก็เริ่มโปรยปรายจึงไม่ค่อยมีโอกาสได้เก็บภาพสวยๆมามากนัก จึงต้องขอยืมรุปภาพจากโลกออนไลน์มาเล่าสู่กันฟัง
ภาพพระราชวังเคียงบ๊อก สถานที่จริง(ซ้าย) ภาพจากซีรีย์ The Moon that embrace the Sun(ขวา) |
จะเห็นได้ว่าซีรีย์ประวัติศาสตร์ส่วนใหญ่ ก็นำแบบการสร้างฉากมาจากสถานที่จริงทั้งนั้น ใครที่ไปเยือนพระราชวังแห่งนี้ โดยเฉพาะสาวๆสามารถใช้จินตนาการอันแรงกล้า สมมุติตัวเองเป็นแม่หญิงยอนอูกำลังเดินทางเข้าเฝ้าฝ่าบาทสร้างความฟินเล่นๆก็ได้ ไม่เสียหาย
หน้าท้องพระโรงหลักจะมีบันไดหินแกะสลักสัตว์ในตำนาน จำลองภาพในวิมานเสมือนว่ากษัตริย์กำลังประทับในสรวงสวรรค์ ประชาชนผู้ต่ำต้อยสามารถเข้าเฝ้าได้เพียงบริเวณลานกว้างมิอาจย่ำกรายขึ้นมาบริเวณสวรรค์อันศักดิ์สิทธิได้
และถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นแท่นหินวางเว้นระยะห่างเท่ากันๆกันวางอยู่ ตอนแรกก็นึกสงสัยแต่ก็ถึงบางอ้อในทันทีเนื่องจากสั่งสมประสบการณ์ในการดูซีรีย์ย้อนยุคเกาหลีมานักต่อนักว่า มันคือแท่นสำหรับแสดงจุดที่บรรดาขุนนางแต่ละต้องนั่งเข้าเฝ้านั้นเอง ขุนนางอยู่บริเวณหนึ่ง บัณฑิตหนุ่มอยู่อีกบริเวณหนึ่ง แบ่งฟากลดหลั่นตามยศฐาบรรดาศักดิ์ไปเรื่อยๆ ... แอบคิดในใจ การเข้าเฝ้ากษัตริย์คงลำบากน่าดู ในฤดูร้อนแดดก็แผดเผา ในฤดูหนาวหิมะก็คงตกเล่นงานทำให้หนาวจับขั้วหัวใจ
หลักฐานว่า นักท่องเที่ยวเยอะมาก |
คนข้างหลังเริ่มกางร่มกันฝนกันแล้ว |
ตอนนี้เราก็มายืนอยู่ตรงช่วงถัดออกมาจากส่วนท้องพระโรง ณ ส่วนหน้าของพระราชวัง ซึ่งเป็นทางเดินปูหินยาวไปจนถึงปากประตูพระราชวัง
ฝนเริ่มตกหนักขึ้น แต่ด้วยความกล้าแกร่งของหญิงไทย เรายังคงเดินหน้าหาจุดถ่ายรูปต่อไป ขณะที่เดินงุ่นง่านไปมาก็ได้ยินเสียงประกาศเริ่มจากภาษาเกาหลี >> จีน >> ญี่ปุ่น และปิดท้ายด้วยอังกฤษ ซึ่งกว่าจะถึงท่อนภาษาอังกฤษ กว่าจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ก็ใช้เวลาร่วมหลายนาที
สรุปใจความคือ ต่อไปนี้จะมีการเดินผลัดเวรของทหารยาม ขอความร่วมมือทุกท่านยืนชมอย่างสงบเรียบร้อยหลังแถบกั้นสีแดงด้วยนะคะ
ถ้าเราคิดถอดใจรีบเดินกลับไปหลบฝนที่รถทัวร์เราคงไม่ได้เห็นทหารเอกเดินผลัดยามอย่างแน่นอน ... ไม่ใช่ว่าทุกคนที่มาเยือนจะได้ชมการเดินขบวนแบบนี้ โชคดีจริงๆค่ะ ว่าแล้วก็รีบไปจับจองที่แล้วคว้ากล้องขึ้นถ่ายรูปรัวๆ
ทหารยามด้านนอก เดินนำขบวนเข้าสู่ลานกว้าง เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการผลัดเวร |
ในขบวนก็ประกอบไปด้วยทหารผู้ทำหน้าที่หลากหลาย (แอบขำ พี่ทหารใส่หนวดปลอมทุกคน...จะได้ดูดุดันน่ากลัวมั้ง?) |
ทหารยามชุดใหม่ ย่ำเท้าเข้ามาเตรียมพร้อมผลัดเวร |
ต่อไปนี้ก็เริ่มพิธีการกล่าวปฎิญาณ...
ผลัดแลกเวรยามซึ่งมีคำบรรยายกล่าวขึ้นในเวลาใกล้เคียงกันถึงสี่ภาษา ยอมรับว่าฟังไม่รู้เรื่องเพราะเสียงตีกันให้ยุ่งเหยิงไปหมดประกอบกับตอนน้้นคนเริ่มมามุงดูเยอะขึ้น เสียงนักท่องเที่ยวหลากหลายภาษาก็ตีกันจนมั่วชวนปวดหัว
ท้ายที่สุดแล้วการผลัดเวรยามก็เป็นไปด้วยดี พี่ชุดแดงเดินนำทหารกลับเข้าไปพักผ่อน ส่วนพี่ชุดน้ำเงินก็ย่ำเท้านำขบวนทหารชุดใหม่ออกไปเฝ้ายาม(ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป?)ด้านนอกต่อไป
สิ่งที่เราประทับใจจากการชมโชว์ผลัดเวรยามนี้คือ ในขณะที่เรากำลังยืนดูชายฉกรรจ์กว่า 30 ชีวิตในชุดย้อนยุค ถืออาวุธสมัยเก่า สวมหมวกขนนกยูงแฟชั่นเมื่อหลายร้อยปีที่ผ่านมากำลังเดินสวนสนามบนลานที่มีฉากหลังที่ประกอบไปด้วยตึกสูงทันสมัย ผู้คนยุคใหม่แต่งกายตามสมัยนิยมกำลังชู้กล้องล้ำยุคถ่ายภาพ เหมือนกำลังมองโลกสองโลกที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง ณ สถานที่เดียวกันในเวลาเดียวกัน ... ไม่อยากจะเชื่อว่ามนุษย์ได้เดินก้าวผ่านอดีตกาลมาแล้วไม่รู้กี่ร้อยปี ณ จุดจุดหนึ่งเราเคยแต่งกายแบบนี้ เคยประพฤติปฎิบัติกันเช่นนี้ ใครจะรู้ว่าในอนาคตอาจมีการจำลองการเข้าแถวซื้อสตาร์บัค จำลองการซื้อขายใน 7-11 ให้ลูกหลานเราดูก็เป็นได้
ส่งท้ายทหารกล้า ออกไปรับภารกิจเป็นหุ่นจำลองให้นักท่องเที่ยวถ่ายภาพ |
ก่อนที่เราจะจากพระราชวังเคียงบ๊อก ไปร้านอาหารกัน (ฮิฮิ) ขอพาทัวร์ไทยไปแวะชมเรือนกลางน้ำหลังนี้ค่ะ
ประวัติของเรือนหลังนี้ไม่ชัดเจนนักแต่ในปัจจุบันเรือนหลังเล็กโงนเงนหลังนี้(มองไปมองมา คล้ายบ้านทรงไทย) เป็นสถานที่เก็บข้าวของเครื่องใช้ รูปปั้น จานชามศิลปะยุคเก่าได้ เรียกได้ว่าเป็นศูนย์รวมศิลปะอันล้ำค่าของเกาหลีขนาดย่อม เปิดให้นักท่องเที่ยวผู้สนใจในศิลปะเข้าชมได้ค่ะ
จริงๆแล้วในเขตพระราชวังยังมีจุดสวยงามมากมาย แต่เนื่องด้วยไปกับทัวร์ เวลาจึงค่อนข้างจำกัดเพียงแค่เดินชมในจุดไฮไลท์ก็ใช้เวลาร่วมสองชั่วโมง สำหรับผู้ใดที่อยากมาเยี่ยมชม โปรดเตรียมรองเท้าของท่านให้พร้อม เนื่องจากท่านต้องเดินเที่ยวมาราธอนเท่านั้น ช่วยพัฒนากล้ามเนื้อน่องได้ดีนักแล
.........................................
พาทุกคนไปรู้จักกับ ชาบูชาบู เมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา!!!
มื้อนี้ เราให้ 5 ดาว !!! |
ส่วนเจ้ายำสาหร่ายเย็นหน้าตาน่าทานใช่ย่อยเลยใช่มั้ยค่ะ พอคีบเข้าปากเท่านั้นแหละก็พบกว่ามันคือสาหร่ายในน้ำเกลือดีๆนี้เอง ถ้าให้เปรียบเทียบ เราคิดว่ายำสาหร่ายญี่ปุ่นอร่อยกว่าของเกาหลีหลายเท่า ส่วนบุกสดก็จื๊ดจืด โชคดีที่มีกิมจิและน้ำจิ้มพิเศษจากไทยแลนด์ช่วยชีวิตไว้
ยังค่ะ มื้อนี้ของเรายังไม่จบเพียงเท่านี้ ยังมี "ข้าวผัดสไตล์เกาหลี" เสิร์ฟเคียงคู่มากับชาบูอีกด้วย
ตอนแรกที่เห็น เรานึกว่ามันคือ บิบิมบับค่ะ แต่บิบิมบัมของจริงต้องมีไข่สดและผักสดเยอะกว่านี้ เจ้าข้าวผัดชามนี้ประกอบไปด้วยข้าว แครอท ถั่วงอก สาหร่ายสดและสาหร่ายแห้งผัดคลุกเคล้ากับข้าวเม็ดโตช่วยทำให้มื้อนี้อิ่มอร่อยอยู่ท้อง ... ตัวเราเองก็ขึ้นชื่อว่าเป็นคนกินเก่งนะคะ แต่กลับทานเจ้าข้าวผัดชามนี้ไม่หมด เพราะข้าวสวยเกาหลีเม็ดใหญ่ เหนียว ใส่เข้าปากไม่กี่คำก็อืดบานในท้องไปอีกหลายชั่วโมง ... วนกลับมาที่เรื่องชาบู ชาบูนั้นมิได้มีเฉพาะชาบูหมูเท่านั้น ยังมีชาบูอีกมากมายหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นชาบูเนื้อ ชาบูทะเล และที่เด็ดที่สุดคือชาบูที่รวมเอาสัตว์บกและสัตว์ทะเลเข้าด้วยกันออกมาเป็นชาบูหม้อไฟรูปร่างหน้าตาแบบนี้แล...
ชาบูหม้อนี้เป็นอาหารมื้อสุดท้ายก่อนกลับไทยค่ะ ช่วยสร้างความประทับใจก่อนเดินทางกลับได้อย่างดีเยี่ยม |
ก็แล้วไงล่ะก็แค่หมูกับปลาหมึกต้มรวมกัน ? ความอร่อยของหมูสไลด์คงไม่ต้องบรรยาย แต่ปลาหมึกนี้ซิ มันไม่ใช่แค่เอาปลาหมึกโง่ๆมาต้มธรรมดาๆ แต่เจ้าปลาหมึกในหม้อนี้ผ่านการปรุงรสมาด้วยซอสสูตรพิเศษ ทำให้รสของปลาหมึกอร่อยไม่จืดชืด อร่อยซู้ดๆทั้งหมู ทั้งปลาหมึกแถมผักบึ้มๆ แครอท หัวหอมชิ้นใหญ่ตบท้ายด้วยต้นหอมชิ้นโต ทานพร้อมข้าวสวย ... อร่อยเหาะ ...
หม้อไฟหมู featuring กับปลาหมึกนี้เสิร์ฟพร้อมกับ สาหร่ายอบกรอบ ถั่วงอกต้ม ผักบุ้งต้มเกลือ กิมจิและปิดท้ายด้วยน้ำจิ้มจากไทยแลนด์(อีกแล้ว) ... ถ้าใครสังเกต จะเห็นว่าชามส่วนใหญ่เป็นชามเหล็ก ทั้งช้อนและตะเกียบที่ใช้รับประทานทุกมื้อในทุกร้านอาหารนั้นก็เป็นแท่งยาวๆทำจากเหล็กหนักๆอีกเช่นเดียวกัน ซึ่งเราก็ได้พยายามรวบรวมเหตุผลจากพี่ไกด์และจากการสังเกตการณ์จากซีรีย์ได้ว่า
เหตุที่ต้องใช้ช้อมและตะเกียบยาว เนื่องจากอาหารส่วนใหญ่จะเสิร์ฟในหม้อร้อนๆและลึก ฉะนั้นต้องใช้ช้อนยาวๆลงไปตักอาหารขึ้นมาลองคิดภาพคนเกาหลีใช้ช้อนโต๊ะแบบคนไทยตักซุปร้อนๆจากหม้อดินซิคะ มือพองลอกเป็นแผลแน่นอน
พี่ไกด์เล่าให้ฟังว่าก่อนทานข้าว คนเกาหลีจะเขย่าชามข้าวแรงๆเพื่อไม่ให้ข้าวติดก้นชามคล้ายกับปฎิฎาณว่าจะต้องกินข้าวให้หมดเกลี้ยงทุกเม็ด ซึ่งการใช้ชามเหล็กก็เป็นเครื่องช่วยไม่ให้ข้าวติดก้นชามอีกวิธีหนึ่งแถมช่วยรักษาความร้อนได้ดีอีกด้วย
ส่วนเหตุที่ใช้ช้อนและตะเกียบเหล็ก ... คงเอาไว้ทดสอบยาพิษมั้ง ? (เอามาจากซีรีย์) อย่างไรก็ดีครอบครัวเราสอยเครื่องเรือนชุดเหล็กจากเกาหลีมาหนึ่งชุด กลับมากินผัดกระเพราหมูกรอบประกอบกับช้อนยาวๆแล้วรู้สึกตะขิดตะขวงใจยังไงชอบกล แต่ก็ต้องทนใช้เพราะซื้อมากว่าหมื่นวอน
วันสุดท้ายของการตะลอนเที่ยวกรุงโซล เราจะไปบุกหมู่บ้านโบราณ โซลทาวเวอร์และตลาดเมียงดงแหล่งช้อปปิ้งของวัยรุ่น ... แต่ทุกอย่างจะเป็นไปตามที่วางแผนหรือไม่ ? เมื่อฟ้าฝนไม่เป็นใจ ทัวร์ไทยจะทำอย่างไร ? ติดตามไปในตอนที่ห้า ตอนสุดท้ายนะคะ!!!
เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!! คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วยเที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริปบุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย
วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น