เที่ยวญี่ปุ่นไม่ง่ายอย่างที่คิด : Suica Card คือ? Korean Town ในญี่ปุ่น?

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

ก่อนที่จะเล่าเรื่องเรื่องราวการผจญภัยในแดนอาทิตย์อุทัยเมืองปลาดิบถิ่นซามุไรบ้านเกิดของโดเรม่อนต่อ ขออธิบายขยายความว่าด้วยเรื่องของ Suica Card กันก่อน ซึ่งเกริ่นไว้ในตอนที่แล้วว่า มันจะทำหน้าที่คล้ายๆ Carrot Card ของไทยคือเป็นบัตรแอนกประสงค์นอกจากสามารถใช้ได้ทั้งขึ้นรถไฟยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย
Suica Card เป็นบัตรเติมเงินที่สามารถใช้ขึ้นระบบการขนส่งใน JR East และสามารถใช้แทนเงินสดเป็น e-Moneyโดยเจ้า Suica Card นี้ก็สามารถหาซื้อได้ที่ศูนย์ JR East Center ที่สนามบินนาริตะได้เช่นเดียวกับ JR Kanto Pass โดยต้องเสียค่า"ซื้อ"บัตรครั้งแรก 500 เยนและมี Deposit 1,500 เยน เท่ากับเมื่อเปิดบัตรครั้งแรกต้องจ่ายเงิน 2,000 เยน และเมื่อไม่ต้องการใช้บัตรแล้วสามารถ"ขาย"บัตรคืนได้(Refund)ในราคา 500เยนโดยไม่ว่าจะเหลือเงินอยู่ในบัตรมากน้อยเพียงใดก็ตาม

(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tiewyeepoon.com/planning/suica/)
(และ http://www.jreast.co.jp/e/pass/suica.html)


โดยก่อนใช้โปรดสังเกตป้ายเหล่านี้ หากมีแปะไว้ล่ะก็สามารถควักการ์ดออกมาโชว์พลังได้
ภาพจาก jreast.com
โดยเราขอยืนยันว่าการมี Suica Card ไว้ในครอบครองจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
และต่อไปนี้จะพาทุกคนไปใช้เจ้าบัตรเติมเงินนี้กัน

ว่าด้วยประโยชน์ของ Suica Card
นอกจากใช้กับระบบขนส่งมวลชนในกลุ่ม JR Eastได้(แท็กซี่ก็ได้)แล้วยังสามารถใช้ในการซื้อสินค้าตามร้าน Kiosk ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่สามารถพบได้ทุกทั่วมุมถนนเฉกเช่น7-11ในไทยแลนด์ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ร้าน Kiosk เท่านั้นแต่รวมถึงร้านสะดวกซื้ออื่นๆที่มีสัญลักษณ์แบบภาพด้านบนอีกด้วย รวมไปจนถึงใช้จ่ายแทนเงินสดที่ตู้กดอัตโนมัติต่างๆอีกด้วย


หลังจากซื้อการ์ดยูกิ เอ๊ย Suica Card ราคา 2000เยนจากสนามบินก็เริ่มต้นประเดิมใช้ทันทีที่ตู้กดอัตโนมัติ ณ ชานชาลารอขึ้นรถไฟเข้าเมือง ถ้าสังเกตให้ดีตู้กดเครื่องดื่มที่ญี่ปุ่นจะมีเสนอขายทั้งแบบเครื่องดื่มเย็นและเครื่องดื่มร้อนเหมาะกับสภาพกาศ 8 องศาในวันที่เดินทางไปถึงยิ่งนัก ทั้งนี้ต้องสังเกตสัญลักษณ์ร้อนเย็นให้ดีเพราะครั้งแรกที่กดตู้ เราอยากสอยน้ำพีชเย็นๆมาดื่มสักหน่อยแต่กลับเผลอกดแบบร้อนออกมาซะได้ ... อร่อยไปอีกแบบ ...


และถ้าไม่แน่ใจว่าตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่นั้นจะสามารถใช้ Suica Card ได้หรือไม่ แล้วก็อย่าลืมเช็คสัญลักษณ์(รูปขวา)บนตู้ด้วยนะคะ ถ้าหากพบสัญลักษณ์ก็ประกบการ์ดกับเครื่องอ่านเท่านี้ก็ได้เครื่องดื่มอร่อยๆโดยไม่ต้องเสียเวลาหาเหรียญเพื่อหยอดให้ยุ่งยาก
ชอบที่สุดคือกระป๋องนี้ น้ำข้าวโพดร้อนๆจากตู้อัตโนมัติ
ขอชาบูเครื่องดื่มจากตู้กดอัตโนมัติเพราะช่วยให้เรารอดชีวิตมาหลายต่อหลายมื้อ ช่วงที่เราไปเยือนญี่ปุ่นอากาศหนาวเย็นลมพัดแรงอยู่เนืองๆและเพื่อคลายหนาวไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นเข้าร้านค้าเพื่อหาอะไรร้อนๆลงท้องแค่เดินไปยังตู้สี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ทั่วมุมเมืองก็สามารถครอบครองเครื่องดื่มร้อนๆไว้ในมือ

ประโยชน์ต่อมาคือใช้บริการ Coin Locker ภายในสถานีหรือสนามบิน
Coin Locker คือตู้หยอดเหรียญสำหรับฝากของค่ะ ซึ่งพบได้ทุกสถานีรถไฟจริงๆ สะดวกสบายอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่จำต้องแบกกระเป๋าสัมภาระลากไปมา จงเข้าร่วมโครงการฝากกระเป๋าไว้กับCoin Lockerที่สถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ออกเที่ยวให้หนำใจ แล้วค่อยย้อนกลับมาทวงกระเป๋าคืนก็ได้

ส่วนตัวเราใช้บริการเจ้าตู้หยอดเหรียญในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก็แบกกระเป๋าขึ้นรถลงเรือไปยังสนามบินแต่เช้า และด้วยความตั้งใจที่ต้องการแวะเทียวชมเมืองนาริตะสักนิดก่อนบินกลับไทย(เป็นวันที่โชคดีที่สุด เพราะเหตุใดอย่าลืมติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ) จึงต้องทำการฝากกระเป๋ากับ Coin Locker สักเล็กน้อย

เมื่อเดินพ้นจากบริเวณร้านค้าอยู่ทางขวามือติดกับห้องน้ำ (ชั้นสี่)
พิกัดตู้ฝากสัมภาระนี้(เท่าที่สอบถามจากพนักงาน)มีตั้งอยู่สองจุดด้วยกัน คือชั้นหนึ่งและชั้นสี่ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราจึงเลือกฝากที่ชั้นสี่ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้กับบริเวณเช็คอิน (Terminal 1) มากที่สุด โดยที่ตู้ทางขวามือจะเป็นตู้รุ่นเก่ารับเฉพาะเหรียญส่วนตู้ทางซ้ายมือใหม่กิ๊กรับSuica Cardจ้า


ยืนยันความสามารถในการใช้บัตรด้วยสัญลักษณ์ด้านบน ว่าแล้วก็แตะหน้าจอทำตามที่เครื่องจักรอิเล็คทรอนิกส์บอกเราไปเรื่อยๆ โดยค่าบริการต่อการเช่าหนึ่งตู้จะอยู่ 500เยน ซึ่งเจ้าป้ายสีขาวด้านบนแจ้งว่า "เที่ยงคืนในวันนั้นๆจะนับเป็นหนึ่งวัน" หมายความว่าสามารถฝากได้แค่ถึงเที่ยงคืนของวันที่ฝากเท่านั้น

และอยากขอเตือนว่า 500เยนที่ต้องจ่ายนั้นต้องจ่ายด้วยการแตะบัตรเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือจะต้องมีเงินในบัตรมากกว่า500 เยนจึงสามารถจ่ายได้ อย่างที่เห็นในภาพเงินในบัตรของน้าเราเหลือแค่ 362เยนซึ่งเราพยายามทำรายการต่อ(พยายามจะแบ่งจ่ายสองบัตร)แต่ทำไม่ได้ เมื่อการ์ดชาร์ตพลังหมดประโยชน์จึงต้อง back to basic หยอดเหรียญกับตู้โบราณตามระเบียบ


เมื่อทำการฝากสัมภาระเรียบร้อย เจ้าตู้อัจฉริยะจะทำการปริ้นใบเสร็จหน้าตาแบบนี้ ภาพซ้าย(สีเหลือง)คือใบเสร็จจากตู้หยอดเหรียญรุ่นเก่า ส่วนภาพขวา(สีเขียว)นั้นมาจากตู้ที่ผ่านการใช้บริการ Suica Card ซึ่งรายละเอียดบนใบเสร็จต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าใบสีเหลืองจากตู้โบราณจะแจ้ง PIN เสร็จสรรพเพื่อใช้ไขตู้ไว้ที่ท้ายใบซึ่งไม่มีปัญหาอะไร

แต่!! ถ้าสังเกตที่ใบสีเขียวกลับไม่ระบุ PIN ใดๆไว้โดยตอนแรกเราก็หลงคิดว่าเลข 3013 คือ PIN แต่ที่ไหนได้เป็นแค่หมายเลขล็อคเกอร์ แบบนี้จะเอากระเป๋าคืนยังไล่ะ? PINอยู่ไหน? สรุปคือไม่มี PINใดๆทั้งสิ้น วิธีการทวงกระเป๋าคืนนั้นแสนง่ายดายแค่นำการ์ดวิเศษแปะกับแท่นอ่านเท่านั้น ... จงเก็บ Suica Cardที่ใช้จ่ายไปให้ดี!!

ฉะนั้นสำหรับใครที่ต้องการขาย(refund) Suica Card เอาเงิน 500เยนคืนล่ะก็ ท่านต้องเก็บมันไว้จนวินาทีสุดท้ายคิดทบทวนให้ดีว่ายังต้องใช้มันอยู่หรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่จึงค่อยขายคืน เรายังคิดโล่งใจถ้าวันนั้นเราเผลอขายคืนการ์ดไปก่อนเอากระเป๋าล่ะจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเครื่องไม่ทันแน่ๆ 


ย่าน Korean Town ณ ชินจุกุ

มองไปตกใจนึกว่าตัวเองอยู่เกาหลี
เราพักอยู่ที่โรงแรม Tokyo Plaza Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใน Korean Town ย่านShinjukuใกล้กับสถานี Shin-Okubo ซึ่งเป็นสถานีแยกย่อยที่จำต้องใช้รถไฟสาย Yamanote Line เพื่อเดินทางอันเป็นสายที่ใช้เดินทางในกรุงโตเกียวโดยเฉพาะ หากให้เปรียบเทียบง่ายๆคือ(เริ่มตั้งแต่เช้า)จากสนามบินนาริตะซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดชิบะเราจำต้องนั่งN'EXข้ามเมืองเพื่อเข้าโตเกียว ก็เหมือนกับนั่งAirport Linkจากสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการเข้ากรุงเทพ และเมื่อเข้าสู่เมืองหลวงอย่างโตเกียวหรือกทม.ก็นั่งYamanote LineหรือBTSไปอนุสาวรีย์ชัย ไปชิดลม หรือไปชินจุกุตามด้วยชินโอคุโบก็ตามแต่ (พอนึกภาพออกหรือยังคะ)

ปล. สุวรรณภูมิอยู่สมุทรปราการจริงๆนะ www.suvarnabhumiairport.com

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าจึงออกมาเดินทอดน่องในโคเรียนทาวน์สักหน่อย อากาศหลังสี่ทุ่มลดลงอีกจากเมื่อเช้าอยู่ประมาณ7-8องศา ลมพัดแรงมาก เนื่องจากเราเป็นคนขี้หนาวจึงเตรียมผ้าปิดจมูกมาด้วย(เปล่าเป็นหวัดแค่อยากบังลม)พอคาดผ้าปิดจมูกปุ๊บก็เนียนไปกับชาวญี่ปุ่นปั๊บไม่จำต้องหายูกาตะ กิโมโนมาใส่ก็เข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นได้!!!

แสงสีย่านชินโอคุโบยามค่ำคืน
ก่อนออกเดินพนักงาน Front Desk ยื่นแผนที่การเดินเที่ยวในย่านนี้มาให้ ซึ่งไม่มีภาษาอังกฤษสักตัว!!! มีแต่รูปภาพกับภาษาญี่ปุ่นยัวเยียพึ่งจะเห็นคุณค่าของวิชาลูกเสือเนตรนารีก็วันนี้แล สวมวิญญาณชุดกาชาดถือไม้ง่ามทำความเคารพแล้วออกเดินตามแผนที่

แผนที่จากGoogle Mapแล้วติดปะภาพด้วยตัวเอง
เอาเป็นว่าเราตั้งจุดเริ่มต้นที่สถานี Shin-Okubo ให้เดินลอดใต้ทางรถไฟไป (เส้นสีแดง Yamanote Line) ซึ่งในอุโมงค์ทางลอดนั้นจะมีการเพ้นท์ภาพน่ารักๆตามผนังสร้างบรรยากาศคิขุให้กับสถานที่ เมื่อพ้นทางลอดไปก็จะพบกับสี่แยกใหญ่ Korean Town จะอยู่ในโซนสีเหลืองที่มาร์กไว้

ถ้าเลือกเดินตรงไปจะพบกับร้านค้าของที่ระลึกศิลปินเกาหลีมากมาย!! เราอาจไม่ค่อยสันทัดเรื่องดาราเกาหลีสักเท่าไรแต่บอกได้เลยว่ามีเยอะจริงเป็นสวรรค์ติ่งเกาหลีขนาดย่อมๆในญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่ละร้านจะขายของศิลปินแต่ละวงต่างกัน โดยร้านที่สะดุดตามากที่สุดคือร้านของศิลปินวง BigBang มีลูกโป่งหน้าสมาชิกลอยเต็มร้าน ของที่ระลึกตั้งแต่กระเป๋าสตางค์ใบเล็กไปจนถึงหุ่นตัวใหญ่มีเพียบ เนื่องจาก No photo เลยไม่มีภาพมาฝาก ... หรือแม้แต่โรงแรมที่เราพัก ห้องอาหารก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ชาบู JYJ อีกด้วย (ขอเก็บภาพไว้โชว์ตอนหน้า)

กลิ่นไอเกาหลีลอยมาเตะจมูก
ถ้าเลือกเลี้ยวเข้าซอยให้ตรงไปจนสุดทาง(ไม่ต้องข้ามถนนใหญ่ไปต่อ) จะพบแหล่งร้านอาหาร(เกาหลี)!!! มากมายให้เลือกทาน ยังแอบขำตัวเอง นี่เราบินข้ามน้ำข้ามทะเลมากินอาหารเกาหลีที่ญี่ปุ่นเหรอเนี้ย!!! ท้องร้องโจ้กกกก ... ถอยหลังกลับหาร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ทันแล้วขอลงเอยกับโอ๊ปป๊าสักมื้อแล้วกัน


เดินเรื่องมากเลือกร้านสักพักก็พบกับร้านนี้(อ่านชื่อร้านไม่ออก) เป็นร้านเงียบๆดูท่าทางน่าสบายจึงเดินเข้าไปขอฝากท้อง เรามาชมภาพบรรยากาศในร้านและเมนูอาหารเกาหลีที่ปรุง ณ ประเทศญี่ปุ่นกันเลยจ้า !!! จะสู้ที่เกาหลีได้หรือไม่ ตอนเที่ยวเกาหลี(กับทัวร์)


เมนูเริ่มด้วยเมนูเด็ดอาหารเกาหลีไม่สั่งไม่ได้คือ ซุปกิมจิ !! รสชาติจัดจ้านลิ้มรสกิมจิเต็มคำอร่อยสุดยอดพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ ขอบอกเลยว่าให้ลืมรสชาติข้าวญี่ปุ่นที่เคยกินที่ไทยไปให้หมดซะ ข้าวสวยญี่ปุ่น


ตามด้วยไข่ระเบิด อิอิ ไข่ฟูอบหม้อดินเนื้อแน่นหอมอร่อยและปลาหมึกผัดซอสกิมจิ ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะอะไร เรารู้สึกว่ามันโออิชิมาก!!! อร่อยยิ่งกว่าต้นตำรับที่เคยกินที่เกาหลีหรือร้านจำแลงที่ไทยเสียอีก (สงสัยเพราะข้าวสวยอร่อยมั้ง กินกับอะไรก็อร่อยไปหมด)


ปิดท้ายด้วยพิซซ่าเกาหลี ใครที่คุ้นกับพิซซ่าญี่ปุ่นคงพอเห็นความเหมือนในพิซซ่าเกาหลีนี้ สอดไส้ผักคล้ายกันต่างกันที่ซอสราด ขอญี่ปุ่นต้องราดซอสข้นๆสีน้ำตาลโรยผงสีเขียวๆปิดท้ายด้วยแผ่นปลาแห้ง ส่วนของเกาหลีเสิร์ฟเพียวๆหาซอสราดเอาเองทานพร้อมซุปกิมจิ อร่อยโฮก


และนี่คือบรรยากาศในร้านค่ะ ซึ่งมีลายเซ็นศิลปินดาราเกาหลีเต็มไปหมด ขอยืนยันนั่งยันนอนยันเลยว่า Korean Town แห่งนี้เป็นสวรรค์ของติ่งเกาหลีของแท้ไม่ต้องไปเกาหลีไปญี่ปุ่นก็ฟินได้เจ้าค่ะ โดยที่มื้อความอร่อยในวันแรกตกอยู่ที่ 5,800 เยน!!! (100เยน = 30บาท) อย่างที่รู้ๆกันค่ะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงลิ่วโดยเฉพาะอาหาร แพงซะ ... อยู่นานๆคงผอม ... แต่ข้าวของเครื่องใช้กลับถูกสวนทางกับอาหารอย่างน่าเหลือเชื่อ (เดี๋ยวจะพาไปตระเวนช้อปปิ้งร้านร้อยเยนและร้านสินค้าปลอดภาษีในตอนต่อๆไปเจ้าค่ะ)

ได้ฤกษ์งามยามดี ในตอนหน้าของพาทุกท่านไปชม "ฟูจิซัง" กัน
                                                                                                                                                              
ใครยังไม่อ่าน  !!เชยมาก!!

ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว คลิ๊กจร้า
Suica Card และ Korean Town ในย่านชินโอคุโบ คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (1) คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (2) คลิ๊กจร้า
ชมวิวทะเลสาบ Kawaguchiko และตามหาร้านอร่อย คลิ๊กจร้า
บุฟเฟต์ขาปูยักษ์ ณ Tokyo Station Buffet คลิ๊กจร้า

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น