ก่อนที่จะเล่าเรื่องเรื่องราวการผจญภัยในแดนอาทิตย์อุทัยเมืองปลาดิบถิ่นซามุไรบ้านเกิดของโดเรม่อนต่อ ขออธิบายขยายความว่าด้วยเรื่องของ Suica Card กันก่อน ซึ่งเกริ่นไว้ในตอนที่แล้วว่า มันจะทำหน้าที่คล้ายๆ Carrot Card ของไทยคือเป็นบัตรแอนกประสงค์นอกจากสามารถใช้ได้ทั้งขึ้นรถไฟยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย
Suica Card เป็นบัตรเติมเงินที่สามารถใช้ขึ้นระบบการขนส่งใน JR East และสามารถใช้แทนเงินสดเป็น e-Moneyโดยเจ้า Suica Card นี้ก็สามารถหาซื้อได้ที่ศูนย์ JR East Center ที่สนามบินนาริตะได้เช่นเดียวกับ JR Kanto Pass โดยต้องเสียค่า"ซื้อ"บัตรครั้งแรก 500 เยนและมี Deposit 1,500 เยน เท่ากับเมื่อเปิดบัตรครั้งแรกต้องจ่ายเงิน 2,000 เยน และเมื่อไม่ต้องการใช้บัตรแล้วสามารถ"ขาย"บัตรคืนได้(Refund)ในราคา 500เยนโดยไม่ว่าจะเหลือเงินอยู่ในบัตรมากน้อยเพียงใดก็ตาม
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tiewyeepoon.com/planning/suica/)
(และ http://www.jreast.co.jp/e/pass/suica.html)
ว่าด้วยประโยชน์ของ Suica Card
นอกจากใช้กับระบบขนส่งมวลชนในกลุ่ม JR Eastได้(แท็กซี่ก็ได้)แล้วยังสามารถใช้ในการซื้อสินค้าตามร้าน Kiosk ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่สามารถพบได้ทุกทั่วมุมถนนเฉกเช่น7-11ในไทยแลนด์ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ร้าน Kiosk เท่านั้นแต่รวมถึงร้านสะดวกซื้ออื่นๆที่มีสัญลักษณ์แบบภาพด้านบนอีกด้วย รวมไปจนถึงใช้จ่ายแทนเงินสดที่ตู้กดอัตโนมัติต่างๆอีกด้วย
หลังจากซื้อการ์ดยูกิ เอ๊ย Suica Card ราคา 2000เยนจากสนามบินก็เริ่มต้นประเดิมใช้ทันทีที่ตู้กดอัตโนมัติ ณ ชานชาลารอขึ้นรถไฟเข้าเมือง ถ้าสังเกตให้ดีตู้กดเครื่องดื่มที่ญี่ปุ่นจะมีเสนอขายทั้งแบบเครื่องดื่มเย็นและเครื่องดื่มร้อนเหมาะกับสภาพกาศ 8 องศาในวันที่เดินทางไปถึงยิ่งนัก ทั้งนี้ต้องสังเกตสัญลักษณ์ร้อนเย็นให้ดีเพราะครั้งแรกที่กดตู้ เราอยากสอยน้ำพีชเย็นๆมาดื่มสักหน่อยแต่กลับเผลอกดแบบร้อนออกมาซะได้ ... อร่อยไปอีกแบบ ...
และถ้าไม่แน่ใจว่าตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่นั้นจะสามารถใช้ Suica Card ได้หรือไม่ แล้วก็อย่าลืมเช็คสัญลักษณ์(รูปขวา)บนตู้ด้วยนะคะ ถ้าหากพบสัญลักษณ์ก็ประกบการ์ดกับเครื่องอ่านเท่านี้ก็ได้เครื่องดื่มอร่อยๆโดยไม่ต้องเสียเวลาหาเหรียญเพื่อหยอดให้ยุ่งยาก
ขอชาบูเครื่องดื่มจากตู้กดอัตโนมัติเพราะช่วยให้เรารอดชีวิตมาหลายต่อหลายมื้อ ช่วงที่เราไปเยือนญี่ปุ่นอากาศหนาวเย็นลมพัดแรงอยู่เนืองๆและเพื่อคลายหนาวไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นเข้าร้านค้าเพื่อหาอะไรร้อนๆลงท้องแค่เดินไปยังตู้สี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ทั่วมุมเมืองก็สามารถครอบครองเครื่องดื่มร้อนๆไว้ในมือ
ประโยชน์ต่อมาคือใช้บริการ Coin Locker ภายในสถานีหรือสนามบิน
Coin Locker คือตู้หยอดเหรียญสำหรับฝากของค่ะ ซึ่งพบได้ทุกสถานีรถไฟจริงๆ สะดวกสบายอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่จำต้องแบกกระเป๋าสัมภาระลากไปมา จงเข้าร่วมโครงการฝากกระเป๋าไว้กับCoin Lockerที่สถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ออกเที่ยวให้หนำใจ แล้วค่อยย้อนกลับมาทวงกระเป๋าคืนก็ได้
ส่วนตัวเราใช้บริการเจ้าตู้หยอดเหรียญในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก็แบกกระเป๋าขึ้นรถลงเรือไปยังสนามบินแต่เช้า และด้วยความตั้งใจที่ต้องการแวะเทียวชมเมืองนาริตะสักนิดก่อนบินกลับไทย(เป็นวันที่โชคดีที่สุด เพราะเหตุใดอย่าลืมติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ) จึงต้องทำการฝากกระเป๋ากับ Coin Locker สักเล็กน้อย
พิกัดตู้ฝากสัมภาระนี้(เท่าที่สอบถามจากพนักงาน)มีตั้งอยู่สองจุดด้วยกัน คือชั้นหนึ่งและชั้นสี่ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราจึงเลือกฝากที่ชั้นสี่ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้กับบริเวณเช็คอิน (Terminal 1) มากที่สุด โดยที่ตู้ทางขวามือจะเป็นตู้รุ่นเก่ารับเฉพาะเหรียญส่วนตู้ทางซ้ายมือใหม่กิ๊กรับSuica Cardจ้า
ยืนยันความสามารถในการใช้บัตรด้วยสัญลักษณ์ด้านบน ว่าแล้วก็แตะหน้าจอทำตามที่เครื่องจักรอิเล็คทรอนิกส์บอกเราไปเรื่อยๆ โดยค่าบริการต่อการเช่าหนึ่งตู้จะอยู่ 500เยน ซึ่งเจ้าป้ายสีขาวด้านบนแจ้งว่า "เที่ยงคืนในวันนั้นๆจะนับเป็นหนึ่งวัน" หมายความว่าสามารถฝากได้แค่ถึงเที่ยงคืนของวันที่ฝากเท่านั้น
และอยากขอเตือนว่า 500เยนที่ต้องจ่ายนั้นต้องจ่ายด้วยการแตะบัตรเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือจะต้องมีเงินในบัตรมากกว่า500 เยนจึงสามารถจ่ายได้ อย่างที่เห็นในภาพเงินในบัตรของน้าเราเหลือแค่ 362เยนซึ่งเราพยายามทำรายการต่อ(พยายามจะแบ่งจ่ายสองบัตร)แต่ทำไม่ได้ เมื่อการ์ดชาร์ตพลังหมดประโยชน์จึงต้อง back to basic หยอดเหรียญกับตู้โบราณตามระเบียบ
เมื่อทำการฝากสัมภาระเรียบร้อย เจ้าตู้อัจฉริยะจะทำการปริ้นใบเสร็จหน้าตาแบบนี้ ภาพซ้าย(สีเหลือง)คือใบเสร็จจากตู้หยอดเหรียญรุ่นเก่า ส่วนภาพขวา(สีเขียว)นั้นมาจากตู้ที่ผ่านการใช้บริการ Suica Card ซึ่งรายละเอียดบนใบเสร็จต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าใบสีเหลืองจากตู้โบราณจะแจ้ง PIN เสร็จสรรพเพื่อใช้ไขตู้ไว้ที่ท้ายใบซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
แต่!! ถ้าสังเกตที่ใบสีเขียวกลับไม่ระบุ PIN ใดๆไว้โดยตอนแรกเราก็หลงคิดว่าเลข 3013 คือ PIN แต่ที่ไหนได้เป็นแค่หมายเลขล็อคเกอร์ แบบนี้จะเอากระเป๋าคืนยังไล่ะ? PINอยู่ไหน? สรุปคือไม่มี PINใดๆทั้งสิ้น วิธีการทวงกระเป๋าคืนนั้นแสนง่ายดายแค่นำการ์ดวิเศษแปะกับแท่นอ่านเท่านั้น ... จงเก็บ Suica Cardที่ใช้จ่ายไปให้ดี!!
ฉะนั้นสำหรับใครที่ต้องการขาย(refund) Suica Card เอาเงิน 500เยนคืนล่ะก็ ท่านต้องเก็บมันไว้จนวินาทีสุดท้ายคิดทบทวนให้ดีว่ายังต้องใช้มันอยู่หรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่จึงค่อยขายคืน เรายังคิดโล่งใจถ้าวันนั้นเราเผลอขายคืนการ์ดไปก่อนเอากระเป๋าล่ะจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเครื่องไม่ทันแน่ๆ
เราพักอยู่ที่โรงแรม Tokyo Plaza Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใน Korean Town ย่านShinjukuใกล้กับสถานี Shin-Okubo ซึ่งเป็นสถานีแยกย่อยที่จำต้องใช้รถไฟสาย Yamanote Line เพื่อเดินทางอันเป็นสายที่ใช้เดินทางในกรุงโตเกียวโดยเฉพาะ หากให้เปรียบเทียบง่ายๆคือ(เริ่มตั้งแต่เช้า)จากสนามบินนาริตะซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดชิบะเราจำต้องนั่งN'EXข้ามเมืองเพื่อเข้าโตเกียว ก็เหมือนกับนั่งAirport Linkจากสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการเข้ากรุงเทพ และเมื่อเข้าสู่เมืองหลวงอย่างโตเกียวหรือกทม.ก็นั่งYamanote LineหรือBTSไปอนุสาวรีย์ชัย ไปชิดลม หรือไปชินจุกุตามด้วยชินโอคุโบก็ตามแต่ (พอนึกภาพออกหรือยังคะ)
ปล. สุวรรณภูมิอยู่สมุทรปราการจริงๆนะ www.suvarnabhumiairport.com
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าจึงออกมาเดินทอดน่องในโคเรียนทาวน์สักหน่อย อากาศหลังสี่ทุ่มลดลงอีกจากเมื่อเช้าอยู่ประมาณ7-8องศา ลมพัดแรงมาก เนื่องจากเราเป็นคนขี้หนาวจึงเตรียมผ้าปิดจมูกมาด้วย(เปล่าเป็นหวัดแค่อยากบังลม)พอคาดผ้าปิดจมูกปุ๊บก็เนียนไปกับชาวญี่ปุ่นปั๊บไม่จำต้องหายูกาตะ กิโมโนมาใส่ก็เข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นได้!!!
ก่อนออกเดินพนักงาน Front Desk ยื่นแผนที่การเดินเที่ยวในย่านนี้มาให้ ซึ่งไม่มีภาษาอังกฤษสักตัว!!! มีแต่รูปภาพกับภาษาญี่ปุ่นยัวเยียพึ่งจะเห็นคุณค่าของวิชาลูกเสือเนตรนารีก็วันนี้แล สวมวิญญาณชุดกาชาดถือไม้ง่ามทำความเคารพแล้วออกเดินตามแผนที่
เอาเป็นว่าเราตั้งจุดเริ่มต้นที่สถานี Shin-Okubo ให้เดินลอดใต้ทางรถไฟไป (เส้นสีแดง Yamanote Line) ซึ่งในอุโมงค์ทางลอดนั้นจะมีการเพ้นท์ภาพน่ารักๆตามผนังสร้างบรรยากาศคิขุให้กับสถานที่ เมื่อพ้นทางลอดไปก็จะพบกับสี่แยกใหญ่ Korean Town จะอยู่ในโซนสีเหลืองที่มาร์กไว้
ถ้าเลือกเดินตรงไปจะพบกับร้านค้าของที่ระลึกศิลปินเกาหลีมากมาย!! เราอาจไม่ค่อยสันทัดเรื่องดาราเกาหลีสักเท่าไรแต่บอกได้เลยว่ามีเยอะจริงเป็นสวรรค์ติ่งเกาหลีขนาดย่อมๆในญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่ละร้านจะขายของศิลปินแต่ละวงต่างกัน โดยร้านที่สะดุดตามากที่สุดคือร้านของศิลปินวง BigBang มีลูกโป่งหน้าสมาชิกลอยเต็มร้าน ของที่ระลึกตั้งแต่กระเป๋าสตางค์ใบเล็กไปจนถึงหุ่นตัวใหญ่มีเพียบ เนื่องจาก No photo เลยไม่มีภาพมาฝาก ... หรือแม้แต่โรงแรมที่เราพัก ห้องอาหารก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ชาบู JYJ อีกด้วย (ขอเก็บภาพไว้โชว์ตอนหน้า)
ถ้าเลือกเลี้ยวเข้าซอยให้ตรงไปจนสุดทาง(ไม่ต้องข้ามถนนใหญ่ไปต่อ) จะพบแหล่งร้านอาหาร(เกาหลี)!!! มากมายให้เลือกทาน ยังแอบขำตัวเอง นี่เราบินข้ามน้ำข้ามทะเลมากินอาหารเกาหลีที่ญี่ปุ่นเหรอเนี้ย!!! ท้องร้องโจ้กกกก ... ถอยหลังกลับหาร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ทันแล้วขอลงเอยกับโอ๊ปป๊าสักมื้อแล้วกัน
เดินเรื่องมากเลือกร้านสักพักก็พบกับร้านนี้(อ่านชื่อร้านไม่ออก) เป็นร้านเงียบๆดูท่าทางน่าสบายจึงเดินเข้าไปขอฝากท้อง เรามาชมภาพบรรยากาศในร้านและเมนูอาหารเกาหลีที่ปรุง ณ ประเทศญี่ปุ่นกันเลยจ้า !!! จะสู้ที่เกาหลีได้หรือไม่ ตอนเที่ยวเกาหลี(กับทัวร์)
เมนูเริ่มด้วยเมนูเด็ดอาหารเกาหลีไม่สั่งไม่ได้คือ ซุปกิมจิ !! รสชาติจัดจ้านลิ้มรสกิมจิเต็มคำอร่อยสุดยอดพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ ขอบอกเลยว่าให้ลืมรสชาติข้าวญี่ปุ่นที่เคยกินที่ไทยไปให้หมดซะ ข้าวสวยญี่ปุ่น
ตามด้วยไข่ระเบิด อิอิ ไข่ฟูอบหม้อดินเนื้อแน่นหอมอร่อยและปลาหมึกผัดซอสกิมจิ ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะอะไร เรารู้สึกว่ามันโออิชิมาก!!! อร่อยยิ่งกว่าต้นตำรับที่เคยกินที่เกาหลีหรือร้านจำแลงที่ไทยเสียอีก (สงสัยเพราะข้าวสวยอร่อยมั้ง กินกับอะไรก็อร่อยไปหมด)
ปิดท้ายด้วยพิซซ่าเกาหลี ใครที่คุ้นกับพิซซ่าญี่ปุ่นคงพอเห็นความเหมือนในพิซซ่าเกาหลีนี้ สอดไส้ผักคล้ายกันต่างกันที่ซอสราด ขอญี่ปุ่นต้องราดซอสข้นๆสีน้ำตาลโรยผงสีเขียวๆปิดท้ายด้วยแผ่นปลาแห้ง ส่วนของเกาหลีเสิร์ฟเพียวๆหาซอสราดเอาเองทานพร้อมซุปกิมจิ อร่อยโฮก
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tiewyeepoon.com/planning/suica/)
(และ http://www.jreast.co.jp/e/pass/suica.html)
โดยก่อนใช้โปรดสังเกตป้ายเหล่านี้ หากมีแปะไว้ล่ะก็สามารถควักการ์ดออกมาโชว์พลังได้
ภาพจาก jreast.com |
โดยเราขอยืนยันว่าการมี Suica Card ไว้ในครอบครองจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
และต่อไปนี้จะพาทุกคนไปใช้เจ้าบัตรเติมเงินนี้กัน
ว่าด้วยประโยชน์ของ Suica Card
นอกจากใช้กับระบบขนส่งมวลชนในกลุ่ม JR Eastได้(แท็กซี่ก็ได้)แล้วยังสามารถใช้ในการซื้อสินค้าตามร้าน Kiosk ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่สามารถพบได้ทุกทั่วมุมถนนเฉกเช่น7-11ในไทยแลนด์ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ร้าน Kiosk เท่านั้นแต่รวมถึงร้านสะดวกซื้ออื่นๆที่มีสัญลักษณ์แบบภาพด้านบนอีกด้วย รวมไปจนถึงใช้จ่ายแทนเงินสดที่ตู้กดอัตโนมัติต่างๆอีกด้วย
หลังจากซื้อการ์ดยูกิ เอ๊ย Suica Card ราคา 2000เยนจากสนามบินก็เริ่มต้นประเดิมใช้ทันทีที่ตู้กดอัตโนมัติ ณ ชานชาลารอขึ้นรถไฟเข้าเมือง ถ้าสังเกตให้ดีตู้กดเครื่องดื่มที่ญี่ปุ่นจะมีเสนอขายทั้งแบบเครื่องดื่มเย็นและเครื่องดื่มร้อนเหมาะกับสภาพกาศ 8 องศาในวันที่เดินทางไปถึงยิ่งนัก ทั้งนี้ต้องสังเกตสัญลักษณ์ร้อนเย็นให้ดีเพราะครั้งแรกที่กดตู้ เราอยากสอยน้ำพีชเย็นๆมาดื่มสักหน่อยแต่กลับเผลอกดแบบร้อนออกมาซะได้ ... อร่อยไปอีกแบบ ...
และถ้าไม่แน่ใจว่าตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่นั้นจะสามารถใช้ Suica Card ได้หรือไม่ แล้วก็อย่าลืมเช็คสัญลักษณ์(รูปขวา)บนตู้ด้วยนะคะ ถ้าหากพบสัญลักษณ์ก็ประกบการ์ดกับเครื่องอ่านเท่านี้ก็ได้เครื่องดื่มอร่อยๆโดยไม่ต้องเสียเวลาหาเหรียญเพื่อหยอดให้ยุ่งยาก
ชอบที่สุดคือกระป๋องนี้ น้ำข้าวโพดร้อนๆจากตู้อัตโนมัติ |
ประโยชน์ต่อมาคือใช้บริการ Coin Locker ภายในสถานีหรือสนามบิน
Coin Locker คือตู้หยอดเหรียญสำหรับฝากของค่ะ ซึ่งพบได้ทุกสถานีรถไฟจริงๆ สะดวกสบายอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่จำต้องแบกกระเป๋าสัมภาระลากไปมา จงเข้าร่วมโครงการฝากกระเป๋าไว้กับCoin Lockerที่สถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ออกเที่ยวให้หนำใจ แล้วค่อยย้อนกลับมาทวงกระเป๋าคืนก็ได้
ส่วนตัวเราใช้บริการเจ้าตู้หยอดเหรียญในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก็แบกกระเป๋าขึ้นรถลงเรือไปยังสนามบินแต่เช้า และด้วยความตั้งใจที่ต้องการแวะเทียวชมเมืองนาริตะสักนิดก่อนบินกลับไทย(เป็นวันที่โชคดีที่สุด เพราะเหตุใดอย่าลืมติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ) จึงต้องทำการฝากกระเป๋ากับ Coin Locker สักเล็กน้อย
เมื่อเดินพ้นจากบริเวณร้านค้าอยู่ทางขวามือติดกับห้องน้ำ (ชั้นสี่) |
ยืนยันความสามารถในการใช้บัตรด้วยสัญลักษณ์ด้านบน ว่าแล้วก็แตะหน้าจอทำตามที่เครื่องจักรอิเล็คทรอนิกส์บอกเราไปเรื่อยๆ โดยค่าบริการต่อการเช่าหนึ่งตู้จะอยู่ 500เยน ซึ่งเจ้าป้ายสีขาวด้านบนแจ้งว่า "เที่ยงคืนในวันนั้นๆจะนับเป็นหนึ่งวัน" หมายความว่าสามารถฝากได้แค่ถึงเที่ยงคืนของวันที่ฝากเท่านั้น
และอยากขอเตือนว่า 500เยนที่ต้องจ่ายนั้นต้องจ่ายด้วยการแตะบัตรเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือจะต้องมีเงินในบัตรมากกว่า500 เยนจึงสามารถจ่ายได้ อย่างที่เห็นในภาพเงินในบัตรของน้าเราเหลือแค่ 362เยนซึ่งเราพยายามทำรายการต่อ(พยายามจะแบ่งจ่ายสองบัตร)แต่ทำไม่ได้ เมื่อการ์ดชาร์ตพลังหมดประโยชน์จึงต้อง back to basic หยอดเหรียญกับตู้โบราณตามระเบียบ
เมื่อทำการฝากสัมภาระเรียบร้อย เจ้าตู้อัจฉริยะจะทำการปริ้นใบเสร็จหน้าตาแบบนี้ ภาพซ้าย(สีเหลือง)คือใบเสร็จจากตู้หยอดเหรียญรุ่นเก่า ส่วนภาพขวา(สีเขียว)นั้นมาจากตู้ที่ผ่านการใช้บริการ Suica Card ซึ่งรายละเอียดบนใบเสร็จต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าใบสีเหลืองจากตู้โบราณจะแจ้ง PIN เสร็จสรรพเพื่อใช้ไขตู้ไว้ที่ท้ายใบซึ่งไม่มีปัญหาอะไร
แต่!! ถ้าสังเกตที่ใบสีเขียวกลับไม่ระบุ PIN ใดๆไว้โดยตอนแรกเราก็หลงคิดว่าเลข 3013 คือ PIN แต่ที่ไหนได้เป็นแค่หมายเลขล็อคเกอร์ แบบนี้จะเอากระเป๋าคืนยังไล่ะ? PINอยู่ไหน? สรุปคือไม่มี PINใดๆทั้งสิ้น วิธีการทวงกระเป๋าคืนนั้นแสนง่ายดายแค่นำการ์ดวิเศษแปะกับแท่นอ่านเท่านั้น ... จงเก็บ Suica Cardที่ใช้จ่ายไปให้ดี!!
ฉะนั้นสำหรับใครที่ต้องการขาย(refund) Suica Card เอาเงิน 500เยนคืนล่ะก็ ท่านต้องเก็บมันไว้จนวินาทีสุดท้ายคิดทบทวนให้ดีว่ายังต้องใช้มันอยู่หรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่จึงค่อยขายคืน เรายังคิดโล่งใจถ้าวันนั้นเราเผลอขายคืนการ์ดไปก่อนเอากระเป๋าล่ะจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเครื่องไม่ทันแน่ๆ
ย่าน Korean Town ณ ชินจุกุ
มองไปตกใจนึกว่าตัวเองอยู่เกาหลี |
ปล. สุวรรณภูมิอยู่สมุทรปราการจริงๆนะ www.suvarnabhumiairport.com
หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าจึงออกมาเดินทอดน่องในโคเรียนทาวน์สักหน่อย อากาศหลังสี่ทุ่มลดลงอีกจากเมื่อเช้าอยู่ประมาณ7-8องศา ลมพัดแรงมาก เนื่องจากเราเป็นคนขี้หนาวจึงเตรียมผ้าปิดจมูกมาด้วย(เปล่าเป็นหวัดแค่อยากบังลม)พอคาดผ้าปิดจมูกปุ๊บก็เนียนไปกับชาวญี่ปุ่นปั๊บไม่จำต้องหายูกาตะ กิโมโนมาใส่ก็เข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นได้!!!
แสงสีย่านชินโอคุโบยามค่ำคืน |
แผนที่จากGoogle Mapแล้วติดปะภาพด้วยตัวเอง |
ถ้าเลือกเดินตรงไปจะพบกับร้านค้าของที่ระลึกศิลปินเกาหลีมากมาย!! เราอาจไม่ค่อยสันทัดเรื่องดาราเกาหลีสักเท่าไรแต่บอกได้เลยว่ามีเยอะจริงเป็นสวรรค์ติ่งเกาหลีขนาดย่อมๆในญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่ละร้านจะขายของศิลปินแต่ละวงต่างกัน โดยร้านที่สะดุดตามากที่สุดคือร้านของศิลปินวง BigBang มีลูกโป่งหน้าสมาชิกลอยเต็มร้าน ของที่ระลึกตั้งแต่กระเป๋าสตางค์ใบเล็กไปจนถึงหุ่นตัวใหญ่มีเพียบ เนื่องจาก No photo เลยไม่มีภาพมาฝาก ... หรือแม้แต่โรงแรมที่เราพัก ห้องอาหารก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ชาบู JYJ อีกด้วย (ขอเก็บภาพไว้โชว์ตอนหน้า)
กลิ่นไอเกาหลีลอยมาเตะจมูก |
เดินเรื่องมากเลือกร้านสักพักก็พบกับร้านนี้(อ่านชื่อร้านไม่ออก) เป็นร้านเงียบๆดูท่าทางน่าสบายจึงเดินเข้าไปขอฝากท้อง เรามาชมภาพบรรยากาศในร้านและเมนูอาหารเกาหลีที่ปรุง ณ ประเทศญี่ปุ่นกันเลยจ้า !!! จะสู้ที่เกาหลีได้หรือไม่ ตอนเที่ยวเกาหลี(กับทัวร์)
เมนูเริ่มด้วยเมนูเด็ดอาหารเกาหลีไม่สั่งไม่ได้คือ ซุปกิมจิ !! รสชาติจัดจ้านลิ้มรสกิมจิเต็มคำอร่อยสุดยอดพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ ขอบอกเลยว่าให้ลืมรสชาติข้าวญี่ปุ่นที่เคยกินที่ไทยไปให้หมดซะ ข้าวสวยญี่ปุ่น
ตามด้วยไข่ระเบิด อิอิ ไข่ฟูอบหม้อดินเนื้อแน่นหอมอร่อยและปลาหมึกผัดซอสกิมจิ ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะอะไร เรารู้สึกว่ามันโออิชิมาก!!! อร่อยยิ่งกว่าต้นตำรับที่เคยกินที่เกาหลีหรือร้านจำแลงที่ไทยเสียอีก (สงสัยเพราะข้าวสวยอร่อยมั้ง กินกับอะไรก็อร่อยไปหมด)
ปิดท้ายด้วยพิซซ่าเกาหลี ใครที่คุ้นกับพิซซ่าญี่ปุ่นคงพอเห็นความเหมือนในพิซซ่าเกาหลีนี้ สอดไส้ผักคล้ายกันต่างกันที่ซอสราด ขอญี่ปุ่นต้องราดซอสข้นๆสีน้ำตาลโรยผงสีเขียวๆปิดท้ายด้วยแผ่นปลาแห้ง ส่วนของเกาหลีเสิร์ฟเพียวๆหาซอสราดเอาเองทานพร้อมซุปกิมจิ อร่อยโฮก
และนี่คือบรรยากาศในร้านค่ะ ซึ่งมีลายเซ็นศิลปินดาราเกาหลีเต็มไปหมด ขอยืนยันนั่งยันนอนยันเลยว่า Korean Town แห่งนี้เป็นสวรรค์ของติ่งเกาหลีของแท้ไม่ต้องไปเกาหลีไปญี่ปุ่นก็ฟินได้เจ้าค่ะ โดยที่มื้อความอร่อยในวันแรกตกอยู่ที่ 5,800 เยน!!! (100เยน = 30บาท) อย่างที่รู้ๆกันค่ะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงลิ่วโดยเฉพาะอาหาร แพงซะ ... อยู่นานๆคงผอม ... แต่ข้าวของเครื่องใช้กลับถูกสวนทางกับอาหารอย่างน่าเหลือเชื่อ (เดี๋ยวจะพาไปตระเวนช้อปปิ้งร้านร้อยเยนและร้านสินค้าปลอดภาษีในตอนต่อๆไปเจ้าค่ะ)
ได้ฤกษ์งามยามดี ในตอนหน้าของพาทุกท่านไปชม "ฟูจิซัง" กัน
ใครยังไม่อ่าน !!เชยมาก!!
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น