นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)
แน่นอนว่า การแบ็คแพ็คเที่ยวต่างประเทศเป็นความฝันของใครหลายๆคน เพราะประหยัดงบ
เที่ยวเองสบายใจไม่ต้องง้อใคร ไม่ต้องกลัวโดนทัวร์หลอก ... เราก็เป็นหนึ่งในหลายๆคนที่คิดแบบนั้น แต่หลังจากหาข้อมูล อ่านกระทู้ อ่านบล็อกของนักผจญภัยแบกเป้ทั้งหลายแล้วหันกลับมามองตัวเองคิดว่าไม่ไหวแน่ๆ ทั้งเวลาว่างวันหยุดของคนในครอบครัวก็ค่อนข้างกระชันชิดไม่มีเวลาให้วางแผนมาก เที่ยวครั้งนี้จึงต้อง "ไปกับทัวร์" แต่ใครจะรู้ว่าการเที่ยวในครั้งนี้เปลี่ยนมุมมองของเรา เที่ยวกับทัวร์ก็สนุกได้อย่างไม่น่าเชื่อ
ถึงเวลานัดรวมตัวของกรุ๊ปทัวร์ ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เวลาประมาณ 3 ทุ่ม
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "แลกเงิน" ... ว่าแล้วก็เดินตรงดิ่งไปที่ธนาคารในสนามบินและพบว่าเรต "ซื้อ" เงินวอนอยู่ที่ประมาณ 37 บาทต่อ 1000 วอน !?! ตกใจ!! เพราะก่อนหน้านั้นค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมาว่าอัตราซื้อมักจะอยู่ที่ประมาณ 30 - 35 บาทต่อ 1000 วอน
"สงสัยช่วงนี้ค่าเงินวอนคงแข็ง" หลักจากแลกเงินเสร็จเรียบร้อย ปรากฎว่าพี่ไกด์ทัวร์เดินมาบอกให้แลกกับของทัวร์ดีกว่า ได้ราคาดีจ่ายถูกกว่า(?)
บทเรียนแรกก่อนออกเดินทางคือ ถ้าแลกเงินกับธนาคารในสนามบิน อัตราการแลกมักสูงกว่าปกติ ควรแลกกับสถานที่แลกเงินอื่นๆหรือกับทัวร์จะได้ในอัตราที่คุ้มราคากว่า แต่อย่างไรก็ดีธนาคารในสนามบินถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับท่านที่ต้องการหลักฐานการแลกเงินที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการโต้เถียงในอนาคต แถมพี่ไกด์เกาหลีบอกต่ออีกว่า ถ้าเงินที่เราแลกไปไม่พอใช้ ทางทัวร์สามารถทำการ "ยืม" เงินจากคนไทยที่ทำงานในเกาหลีมาให้เราแลกใช้ก่อนในอัตราที่ถูกได้อีกด้วย ฉะนั้นไปกับทัวร์ไม่ต้องกลัวเงินหมด เดินทางครั้งนี้เราเตรียมเงินส่วนตัวไป 5,000 บาท ซื้อขนมของฝากบวกกับจ่ายค่าไกด์ local ที่เกาหลี 700 บาท เที่ยวทริปนี้เหลือเงินกลับไทยประมาณ 1,200 บาทค่ะ
โดยส่วนตัวประทับใจ แบงค์สีเหลืองทองใบหลังสุดซึ่งมีมูลค่า 50,000 วอน เนื่องจากมีรูปภาพของหญิงคนหนึ่งพิมพ์อยู่ ไม่มากนักที่เราจะพบภาพของผู้หญิงถูกพิมพ์อยู่บนธนบัตร ทั้งยังเป็นธนบัตรที่ีมูลค่าสูงสุดอีกด้วยแสดงว่าหญิงคนนี้ต้องมีความสำคัญอะไรสักอย่างแน่นอน ...
พี่ไกด์เกาหลีเล่าให้ฟังคร่าวๆว่า ภาพของหญิงผู้นี้คือ "แม่" ของนักปราชญ์คนสำคัญของเกาหลีซึ่งปรากฎหน้าในธนบัตร 5000 วอน สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเกาหลีเห็นความสำคัญและยกย่องเพศแม่ ผู้ดูแล ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ หากไร้ซึ่งหญิงที่เรียกว่าแม่แล้วย่อมไม่เกิดบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ... ส่วนชื่อเสียงเรียงนามของทั้งสองท่าน ขอยอมรับว่าจำไม่ได้!! ใครที่สนใจก็อย่าลืมไปหาข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
สิ่งแรกที่ต้องทำคือ "แลกเงิน" ... ว่าแล้วก็เดินตรงดิ่งไปที่ธนาคารในสนามบินและพบว่าเรต "ซื้อ" เงินวอนอยู่ที่ประมาณ 37 บาทต่อ 1000 วอน !?! ตกใจ!! เพราะก่อนหน้านั้นค้นข้อมูลในอินเตอร์เน็ตมาว่าอัตราซื้อมักจะอยู่ที่ประมาณ 30 - 35 บาทต่อ 1000 วอน
"สงสัยช่วงนี้ค่าเงินวอนคงแข็ง" หลักจากแลกเงินเสร็จเรียบร้อย ปรากฎว่าพี่ไกด์ทัวร์เดินมาบอกให้แลกกับของทัวร์ดีกว่า ได้ราคาดีจ่ายถูกกว่า(?)
บทเรียนแรกก่อนออกเดินทางคือ ถ้าแลกเงินกับธนาคารในสนามบิน อัตราการแลกมักสูงกว่าปกติ ควรแลกกับสถานที่แลกเงินอื่นๆหรือกับทัวร์จะได้ในอัตราที่คุ้มราคากว่า แต่อย่างไรก็ดีธนาคารในสนามบินถือเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับท่านที่ต้องการหลักฐานการแลกเงินที่ชัดเจน เพื่อป้องกันการโต้เถียงในอนาคต แถมพี่ไกด์เกาหลีบอกต่ออีกว่า ถ้าเงินที่เราแลกไปไม่พอใช้ ทางทัวร์สามารถทำการ "ยืม" เงินจากคนไทยที่ทำงานในเกาหลีมาให้เราแลกใช้ก่อนในอัตราที่ถูกได้อีกด้วย ฉะนั้นไปกับทัวร์ไม่ต้องกลัวเงินหมด เดินทางครั้งนี้เราเตรียมเงินส่วนตัวไป 5,000 บาท ซื้อขนมของฝากบวกกับจ่ายค่าไกด์ local ที่เกาหลี 700 บาท เที่ยวทริปนี้เหลือเงินกลับไทยประมาณ 1,200 บาทค่ะ
โดยส่วนตัวประทับใจ แบงค์สีเหลืองทองใบหลังสุดซึ่งมีมูลค่า 50,000 วอน เนื่องจากมีรูปภาพของหญิงคนหนึ่งพิมพ์อยู่ ไม่มากนักที่เราจะพบภาพของผู้หญิงถูกพิมพ์อยู่บนธนบัตร ทั้งยังเป็นธนบัตรที่ีมูลค่าสูงสุดอีกด้วยแสดงว่าหญิงคนนี้ต้องมีความสำคัญอะไรสักอย่างแน่นอน ...
พี่ไกด์เกาหลีเล่าให้ฟังคร่าวๆว่า ภาพของหญิงผู้นี้คือ "แม่" ของนักปราชญ์คนสำคัญของเกาหลีซึ่งปรากฎหน้าในธนบัตร 5000 วอน สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเกาหลีเห็นความสำคัญและยกย่องเพศแม่ ผู้ดูแล ผู้อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ หากไร้ซึ่งหญิงที่เรียกว่าแม่แล้วย่อมไม่เกิดบุรุษผู้ยิ่งใหญ่ ... ส่วนชื่อเสียงเรียงนามของทั้งสองท่าน ขอยอมรับว่าจำไม่ได้!! ใครที่สนใจก็อย่าลืมไปหาข้อมูลเพิ่มเติมนะคะ
.........................................
ครอบครัวเราเลือกเดินทางในช่วงต้นเดือนสิงหาคมซึ่งเป็นช่วงฤดูร้อน แต่เป็นที่รู้กันดีว่าฝนมักจะตกประปราย อุณหภูมิอยู่ที่ประมาณ 25-30องศา (ถือว่าค่อนข้างเย็นถ้าหากเทียบกับฤดูร้อนเมืองไทย)
อย่าลืมเช็คสภาพอากาศก่อนเดินทางนะคะ Welcome to Korea ประเทศที่ฝนมักตกในฤดูร้อน อย่าลืมเตรียมร่มคันเล็กๆหรือเสื้อกันฝนไปด้วยนะคะได้ใช้แน่นอน!!! |
หลังจากผ่านไป 5 ชั่วโมงก็แลนดิ้ง ณ ท่าอากาศยานอินชอน ประเทศเกาหลีใต้เวลา 7 โมงเช้า (ประมาณตี 5 ประเทศไทย) เมื่อก้าวเท้าออกจากสนามบิน สิ่งแรกที่สัมผัสได้คือ อากาศเย็น!!! ประกอบกับวันนั้นฝนตกปรอยๆจึงเพิ่มความหนาวสะท้านทรวงอีกเท่า
"ประเทศเธอเรียกแบบนี้ว่าฤดูร้อนเร๊อะ !?!" แต่โชคดีดีที่เตรียมตัวมาพร้อม แค่เสื้อแขนยาวกับหมวกแก็ปใบเก๋ก็สามารถพาฝ่าฟันสายฝนโปรยปรายไปได้
โชคดีเมื่อนั่งรถออกจากอินชอนเพื่อมุ่งหน้าไปเมือง "คยองกิโย" ฟ้าเปิดสว่างสดใสอากาศเริ่มร้อนขึ้นแต่ออกไปทางร้อนชื้นๆซึ่งต่างจากบางกอก, ไทยแลนด์ที่ร้อนแสบผิว และเป้าหมายแรกของเราคือ " หมู่บ้านอังกฤษ " หรือ English village
หมู่บ้านอังกฤษคือสถานที่สร้างจำลองบรรยากาศเมืองหรูสไตล์ยุโรป เพื่อให้คนเกาหลี โดยเฉพาะเด็กๆได้เข้าไปสัมผัสและฝึกใช้ภาษากันค่ะ ... แล้วทัวร์ไทยอย่างเราไปทำอะไรล่ะ? ตอบได้คำเดียวคือ "ไปถ่ายรูป" ไปถ่ายรูปเท่านั้น!!! ที่หมู่บ้านนี้ไร้ซึ่งร้านค้า ร้านขายของ เป็นแค่ตึกสวยๆตั้งอยู่ ไร้ซึ่งการอธิบาย ไร้ซึ่งที่มาที่ไป ทัวร์ไทยก็ได้แต่ทำใจยกกล้องถ่ายภาพ แช๊ะ แช๊ะ ไป แต่ขอบอกว่าภาพที่ออกมาสวยงามน่าดูชม สรุปตรงๆไม่อ้อมค้อมคือ เราค่อนข้างรู้สึกผิดหวังกับหมู่บ้านอังกฤษค่ะ
บรรยากาศเมืองสบายๆ สไตล์ยุโรป
ยอมรับว่าสร้างจำลองได้สวยเหมือนจริง เสียก็แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราทำได้แต่ถ่ายรูป ไม่สามารถเข้าไปชมบรรยากาศภายในซึ่งจัดเป็นศูนย์การเรียนรู้ของเด็กๆเกาหลีได้
ยอมรับว่าสร้างจำลองได้สวยเหมือนจริง เสียก็แต่นักท่องเที่ยวอย่างเราทำได้แต่ถ่ายรูป ไม่สามารถเข้าไปชมบรรยากาศภายในซึ่งจัดเป็นศูนย์การเรียนรู้ของเด็กๆเกาหลีได้
ร้านกาแฟจอมปลอม : ทำหน้าร้านซะน่าอุดหนุน มีเมนูอาหารพร้อมราคาแปะไว้ แต่ห้องข้างในว่างเปล่า ...
แต่หลังจากสอบถามจากเจ้าหน้าที่ ก็ได้คำตอบว่าร้านอาหารในนี้ไม่ใช่ร้านจอมปลอมเสมอไป มีบางร้านเปิดขายจริงอยู่แต่สำหรับอาจารย์ต่างชาติผู้ดูแลจัดค่ายเท่านั้น
.........................................
หลังจากนั้นทัวร์ก็พาไปช้อปปิ้งที่ Paju Lotte Outlets ก่อนจะเล่าต่อขอเล่าถึงเหตุผลที่ทำไมทัวร์ต้องพาบรรดาูกทัวร์ไป "ช้อป"ตามสถานที่ต่างๆ หัวหน้าคณะทัวร์เล่าว่า รัฐบาลเกาหลีมักจะทำการสนับสนุนบริษัททัวร์ต่างชาติ ทำให้ทัวร์เกาหลีจะค่อนข้างมีราคาถูก(เมื่อเทียบกับทัวร์ประเทศอื่นๆ) และเพื่อเป็นการตอบแทน บริษัททัวร์จึงต้องพาลูกทัวร์ไปเยี่ยมชมสถานที่ขายของที่สนับสนุนโดยรัฐบาล เช่น ศูนย์โสมเกาหลีหรือเอาท์เล็ตบางแห่งเป็นต้น
เอาท์เล็ตแห่งนี้เป็นเอาท์เล็ตที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายภาพติดมือมา แต่ขอบอกว่าสถานที่ของเขาดีจริง!! เป็น shopping mall ที่มีหลายอาคารใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน แต่ละอาคารเชื่อมด้วยทางเดินลอยฟ้า แต่ที่ประทับใจคือระหว่างทางเดินเชื่อมตึกจะมีจุด "ให้ยืมร่ม" ไม่ว่าจะเพื่อกันแดดหรือกันฝน เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาช้อปปิ้ง
เอาท์เล็ตแห่งนี้เป็นเอาท์เล็ตที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี น่าเสียดายที่ไม่ได้ถ่ายภาพติดมือมา แต่ขอบอกว่าสถานที่ของเขาดีจริง!! เป็น shopping mall ที่มีหลายอาคารใหญ่ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน แต่ละอาคารเชื่อมด้วยทางเดินลอยฟ้า แต่ที่ประทับใจคือระหว่างทางเดินเชื่อมตึกจะมีจุด "ให้ยืมร่ม" ไม่ว่าจะเพื่อกันแดดหรือกันฝน เป็นการอำนวยความสะดวกให้กับผู้มาช้อปปิ้ง
เนื่องจากไม่ค่อยสนใจในการช้อปปิ้งสินค้าเบรนด์เนม ท้องน้อยๆก็พาตรงดิ่งไปที่ 7-11 โคเรียในเอาท์เล็ต ... มาถึงเกาหลีทั้งที่ก็เป็นที่แน่นอนว่าต้องขอลองเมนูของหวานยอดฮิต ได้แก่ นมกล้วยและไอติมแคนตาลูป
ไอติมแคนตาลูป ราคา 1700 วอน
นมกล้วย ราคา 1300 วอน
และในตอนนั้นก็ตระหนักได้ว่า เซเว่นเกาหลีก็มีการชาร์ตราคาสินค้าไม่ต่างจากเซเว่นไทย
ปลสอง. ขอเล่าเกร็ดความรู้เล็กน้อยถึงเหตุผลที่ร้านสะดวกซื้อยี่ห้อดังมักชาร์ตราคาสินค้าก็เพราะว่า โดยปกติ กฎหมายทุกประเทศบังคับเก็บภาษีและเพื่อเป็นการ "ผลักภาระภาษี" บริษัทผู้ค้าจึงทำการ "UP" ราคาสินค้าขึ้นเพื่อเก็บเงินส่วนต่างจากสินค้านำไปจ่ายภาษี เท่ากับผู้บริโภคคือผู้จ่ายภาษีตัวจริงในขณะที่บริษัทรับแค่กำไร-ขาดทุน ก่อนที่จะเข้าสู่โหมดวิชาการไปมากกว่านี้ ขอวนกลับมาที่เรื่องนมกล้วยและไอติมแคนตาลูป ในฐานะคนไม่ชอบกินกล้วย ขอบอกว่านมขวดนี้อร่อยใช้ได้เลยทีเดียว ไม่หวานเกินไป กลิ่นหอมกล้วยอ่อนๆ ส่วนไอติมแคนตาลูปต้องขอบอกว่า "อร่อยโผ้ดๆ" หวาน หอม อร่อยฉุดไม่อยู่ทะลุจักรวาล ถ้าใครมีโอกาสไปเกาหลีแนะนำจริงๆสำหรับสองเมนูนี้
ส่วนใครที่อ่านแล้วอยากลองชิม : ความจริงแล้วไม่ต้องเสียเวลาไปไกลถึงเกาหลี ร้านสะดวกซื้อ Max Value ในไทยก็มี ด้วยสนราคาไม่ต่างจากซื้อกินที่เกาหลีเท่าไรนัก
หรือถ้าใครสังเกต ในร้านสะดวกซื้อบางแห่งจะมี นมกล้วยยี่ห้อนี้แบบกล่องวางขายอยู่ ... ใครสนใจก็ลองหามาชิมกันได้
.........................................
รู้สึกติดใจบรรยากาศเซเว่นเกาหลียังไงชอบกล : ร้านเล็กๆ เรียบๆ สะอาดๆ มีอาจูม่าเป็นแคชเชียร์ ... ชอบความรู้สึกที่ได้เดินเข้าไปในสถานที่ที่(เหมือนจะ)คุ้นเคยแต่บรรยากาศเปลี่ยนไป มีตู้ มีชั้นวางของเหมือนกัน สินค้าก็คล้ายๆกันต่างกันแค่มีอักษรภาษาที่ไม่เข้าใจเขียนเต็มไปหมด รู้สึกเหมือนได้ลองใช้ชีวิตธรรมดาแบบคนเกาหลี รู้สึกเหมือนช่วงเวลาหนึ่งได้สวมวิญญาณเป็นคนท้องถิ่นคนหนึ่งไม่ใช่แค่นักท่องเที่ยวทั่วไป ... (ว่าไปนั้น ก็แค่ซื้อของเซเว่น)
อีกหนึ่งวิธีในการเลี้ยงปากเลี้ยงท้องในต่างประเทศก็คือการพึงพา 7-11 แม้ไปกับทัวร์ ทัวร์จะบริการน้ำและอาหารให้ทุกมื้อ(ติดตามมื้ออาหารสุดหรูได้ในตอนต่อๆไปนะคะ)แต่ก็ไม่สามารถสนองความอยากที่มีอยู่มากมายได้ เมื่อจบมื้อหลักก็ต้องตามด้วยขนมหวาน
เปิดหูเปิดตาและค้นพบอีกว่า
>> ช๊อคโกเลต bon
bon เซเว่นไทยขายลูกละ
5 บาท เซเว่นเกาหลีขายลูกละ 1000 วอน
>> เซเว่นและร้านสะดวกส่วนใหญ่ขายกาแฟ 3in1 พร้อมถ้วยเท่านั้น พร้อมบริการกระติกน้ำร้อน กดน้ำชงเองได้ไม่ต้องเกรงใจใคร
>> เซเว่นและร้านสะดวกซื้อส่วนใหญ่เป็นแบบ
“self-service” โดยลูกค้าต้องทำการอุ่น ปิ้งหรือเวฟอาหารที่ต้องการซื้อเอง
>> ขนมปังปลาแบบกล่องขายตามร้านสะดวกซื้อทั่วไป “ไม่อร่อย”
ถ้าจะอร่อยจริงต้องซื้อตามร้านรถเข็นริมทาง
>> ขนมปังชีสยี่ห้ออะไรไม่รู้ หยิบมั่วๆมา อร่อยมาก
>> ขนมปังชีสยี่ห้ออะไรไม่รู้ หยิบมั่วๆมา อร่อยมาก
>> น้ำเปล่าแพง ขายเริ่มต้นขวดละ 1000 วอน
หลังจากช้อปปิ้ง(ของกิน)เรียบร้อย เป้าหมายต่อไปคือ " เกาะนามิ " หลายคนคงบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า น่าเบื่อ!! ทัวร์ไหนๆก็พาไป เชยสะบัด ... แต่สำหรับเราแล้ว เกาะนามิกลับสร้างความประทับใจอย่างน่าเหลือเชื่อ การนั่งรถนานกว่า 2 ชั่วโมงจากคยองกิโยถึงเกาะนามิ ถือว่าคุ้มค่า ระหว่างทางเราได้รับรู้เรื่องราวใหม่ๆทั้งจากการสังเกตและการเล่าของพี่ไกด์เกาหลีมากมาย ...
มุ่งหน้าสู่เกาะนามิ !!!
พี่ไกด์เหล่าให้ฟังว่า รัฐบาลเกาหลีค่อนข้างสนับสนุนการท่องเที่ยวภายในประเทศ ในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์จะสังเกตเห็นได้ว่า คนเกาหลีมากมายทะลักทะลวงออกมาเดินเที่ยวเล่นตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ... รถติดหนึบ!!! ... ทำให้กำหนดการเยือนเกาะนามิล่าช้ากว่าปกติ แต่นั้นก็มิได้ตัดทอนกำลังกายและใจของเราไม่ สู้ตายคร้า!!!
หอคอยเขียวด้านหลัง คือหอบั้นจี้จัมป์ที่ "เคย" สูงที่สุดในเกาหลี |
เมื่อรถเทียบท่าลานจอดรถเรือข้ามฝากปุ๊บ ก็คว้ากล้องมาถ่ายรูปปั๊บ!!!
เกาะนามิมีชื่อเสียงโด่งดังเนื่องจากเป็นสถานที่ใช้ถ่ายทำซีรีย์รักเรื่องดัง "Winter love song"
แต่ขอสารภาพว่ามิได้สนใจกับการมาตามรอยซีรีย์แต่อย่างใด แต่ตื่นเต้นที่ได้มาตามรอย "รันนิ่งแมน"ค่ะ
ก่อนที่เราจะไปเที่ยวเกาะนามิกัน อยากเล่าว่าทำไมถึงยก "รันนิ่งแมน" มาพูดถึงทั้งๆที่ไม่น่าจะเกี่ยวข้องกัน เรื่องของเรื่องคือ ฟากผืนดินก่อนนั่งเรือข้ามไปเกาะนามินั้น บรรดารันนิ่งแมนเคยมาถ่ายทำรายการในตอนที่ 148 ค่ะ ฉะนั้นบรรดาร้านอาหารและจุดท่องเที่ยวต่างๆจะมีป้ายรันนิ่งแมนแปะไว้เต็มไปหมด อารมณ์ว่า ที่นี้ เคยมีดาราดังมาเยือนนะเค๊อะ ... (เสียดายที่ไปเที่ยวกับทัวร์ รถบัสวิ่งผ่านจุดทำภารกิจเร็วมาก เก็บภาพไม่ทัน ถ้ามีโอกาสได้ไปแบ็คแพ็คเองจะกลับไปเยี่ยมจุดต่อจุดเลยค่ะ)
ทางขึ้นเรือข้ามฟาก |
อย่างไรก็ดี หลังจากซื้อตั๋วนั่งเรือข้ามฟาก ไป-กลับ 5000 วอน ที่บู้ทขายตั๋วก็จะแจกแผนที่เส้นทางเดินเท้าบนเกาะนามิมาให้ค่ะ เนื่องจากเป็นสาวใกล้ชิดกับธรรมชาติ อาศัยแค่แสงแดดและดาวเหนือก็สามารถเดินได้ไม่หลงทิศ เลยพับแผนที่ลงกระเป๋าไป (จนทุกวันนี้ก็ยังหาแผนที่ไม่เจอ เลยไม่ได้ถ่ายรูปแผนที่มาฝากให้ชมกัน) ว่าแล้วก็เดินด้วยความมั่นใจตรงขึ้นเรือเพื่อข้ามไป "เกาะนามิ"
ก่อนข้ามไปเกาะ พี่ไกด์เกาหลีก็เล่าให้ฟังว่า เกาะนี้ตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้กับ นายพลนามิ ผู้เชี่ยวชาญการรบจนได้ก้าวขึ้นเป็นนายพลด้วยอายุเพียง 26 ปี ... เนื่องจากความเก่งเกินตัวของท่านนายพลนี้เอง ทำให้ตกเป็นเป้ารังเกียจของผู้ใหญ่ระดับสูงจึงถูกใส่ร้ายและประหารชีวิตในที่สุด
ลืมเล่าว่า ตั๋ว ข้ามฝากที่ซื้อนั้นไม่ใช่แค่ตั๋วฉีกธรรมดา แต่จะออกในลักษณะ "visa" ซึ่งบนเรือจะมีป้าย ... Welcome to Naminara Republic ... แปะไว้ค่ะ เสมือนกับว่าเรากำลังเดินทางไปรัฐอื่น (เสมือนว่ากำลังทางไปยังรัฐในอุดมคติของท่านนายพลนามิ)
ท่าเรือเล็กด้านข่าง สำหรับผู้เล่นกีฬาทางน้ำโดยเฉพาะ เป็นอีกจุดที่คิมจองกุ๊ก อีกวางซูแห่งรันนิ่งแมนมาทำภารกิจ |
ถนนเส้นหลักเป็นเกาะจะถูกประดับด้วยลุกโป่งสีขาวแบบนี้ตลอดสายเลยค่ะ แต่ทุกท่านสงสัยเหมือนกับเรามั้ยว่า ทำไมลุกโป่งถึงเป่าออกมาลุกเท่ากันเป๊ะทุกลูก แถมมีจุดยืนไม่ปลิวไหวตามลมอีกต่างหาก
ด้วยความสงสัยเราเลยลองไปยืนจ้องมันสักพักแล้วก็ถึงบางอ้อ ... เจ้าลูกขาวๆที่เราเห็นนั้นมันหาใช่ลูกโป่งไม่ แต่มันคือ "โคมไฟทรงลูกโป่ง" ค่ะ
ประทับมาก สร้างสรรค์ ถือว่าเป็นการลงทุนที่ดี ทำโคมไฟน่ารักๆมองไปช่วยสร้างบรรยากาศเหมือนอยู่ในงานสังสรรค์เล็กๆอบอุ่น แสงไฟตอนกลางคืนคงสวยน่าดู
เนื่องจากตั้งแต่มาถึงเกาหลียังไม่ได้หยุดเดินทางเลย ท้องน้อยๆก็เริ่มหิว สายตาก็เริ่มสอดส่องหาของกินและแล้วก็ ปิ๊ง!! ....
ร้านขายไส้กรอกบาบีคิว "Barbecue sausage" สนนราคาอยู่ที่ไม้ละ 2500 วอน ... ขอบอกว่า อร่อยน้ำตาไหล ... ปลื้มจิตปลื้มใจเหมามาแทะ 2 ไม้คนเดียวเงียบๆไม่แบ่งใคร ไส้กรอกช่ำราสซอสมะเขือเทศ มัสตาร์ด พี่ไกด์เกาหลีบอกว่าถ้าได้กินกับเบียร์เย็นๆจะยิ่งสุดยอด แต่ด้วยความเป็นเด็กดีเลยซื้อคาลพิส แลคโต๊ะมาดื่มแกล้มแทน
ระหว่างที่นั่งแทะไส้กรอกอย่างเมามันส์ พี่ไกด์เกาหลีเจ้าเดิมก็ยื่นข้าวโพดต้มเกาะนามิมาให้ชิม พี่เค้าบอกว่าข้าวโพดที่นี้ขึ้นชื่อเรื่องความอร่อยมาก ... ไม่รอช้า รีบหันมาแทะข้าวโพดที่ได้มาฟรีและพบว่า มันคือ "ข้าวโพดข้าวเหนียว"เมืองไทยนี้เองซึ่งสามารถหาซื้อได้ในราคา 3 ฝัก 10-20 บาทแล้วแต่ความใหญ่ของฝัก ส่วนข้าวโพดข้าวเหนียวนามิราคาอยู่ที่ 3 ฝักเล็ก 3000 วอน ฝักละ 1000 วอนถ้วน (30กว่าบาท) แทะแล้วเหมือนบินได้ ห้าๆๆ ... ใช้ชีวิตอยู่เมืองท่องเที่ยวก็แบบนี้แล ค่าครองชีพเขาค่อนข้างสูง
หลังจากสนองความหิวก็ออกเดินต่อไปยังจุดไฮไลท์ของเกาะ คือ จุดเลิฟซีน (ตั้งชื่อเอง) หรือจุดที่พระนางในซีรีย์ของเราบอกรักกัน ซึ่งระหว่างทางเดินไปจุดไฮไลท์ถูกโอบอ้อมด้วยป่าสน และป่าแป๊ะก๋วย ถ้าซึ่งมีโอกาสได้มาเยี่ยมชมในช่วงฤดูหนาวหรือฤดูใบไม้ร่วงคงสวยน่าดู และต่อไปนี้ขออนุญาตให้ภาพช่วยเล่าเรื่องแล้วกันนะคะ
ป้ายหลุมฝังศพ นายพลนามิ |
แถวหินเป็ดน้อยตามทางเดิน ป้ายทางเข้าเกาะนามิ |
จุดถ่ายภาพคลาสสิค : ทิวป่าต้นสน + รูปปั้นคู่พระนางจุนซัง มินยอง |
ใช้เวลาเดินเล่นประมาณ 1 ชั่วโมงกว่าๆก็เตรียมพร้อมขึ้นเรือข้ามฟากกลับ อย่างที่เกริ่นไว้ตอนต้นว่า วันที่ไปเที่ยวบังเอิญเป็นวันหยุดเสาร์-อาทิตย์ นอกจากนักท่องเที่ยวต่างชาติแล้ว นักท่องเที่ยวเกาหลีก็เยอะไม่แพ้กัน แต่ถึงแม้ว่าคนจะเยอะสักเพียงใด แต่เรือข้ามฟากก็พร้อมบริการเสมอ เที่ยวหนึ่งเดินรอไม่ถึง 5 นาทีก็ได้ขึ้นเรือกลับแล้ว ยอมรับว่าระบบการจัดการของเขา ดีเยี่ยมค่ะ สรุปคือรู้สึกประทับใจกับเกาะนามิอย่างเหลือเชื่อ ห้องน้ำสะอาด ร้านอาหารหาซื้อง่าย มีร่มไม้ให้นั่งพัก เที่ยวสบายไร้กังวล
เดินทางออกจากเกาะนามิ มุ่งสู่เมืองซูวอน หรือ เมืองแห่งพัคจีซอง!!!
บรรยากาศยืนรอเรือข้ามฟาก (คนเยอะมาก) |
จบส่วนแรก ... อ่านต่อคลิ๊ก เที่ยวเกาหลี ตอนสอง
เที่ยวญี่ปุ่นด้วยตัวเอง ใหม่ล่าสุด!!! คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง ...
เมื่อไม่นานมานี้เราเพิ่งไปเที่ยวเกาหลีมาค่ะ และในบทความตอนแรกนี้จะขอพาเพื่อนๆไปเที่ยวเกาะนามิ แวะซื้อของใน 7-11ที่เกาหลี ชิมขนมขึ้นชื่ออย่างไอศกรีมแคนตาลูปและนมกล้วย
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 2
หลังจากเดินทางมาอย่างเหนื่อยหนักก็แวะเข้าพักที่ซูวอน เมืองแห่งพัคจีซอง จากนั้นมุ่งสู่วัดวาวูจองซา วัดเกาหลีชื่อดังอันตั้งอยู่ในหุบเขาห่างไกลตัวเมือง ไปทำความรู้จักกับประวัติอันยาวนานของวัดแห่งนี้กันค่ะ
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 3
แวะกินหมูย่าง บูลโกกิสุดอร่อย แล้วต่อด้วยเอเวอร์แลนด์สวนสนุกที่ใหญ่ที่สุดในเกาหลี และปิดท้ายด้วยการช้อปปิ้ง ณ ย่านการค้าทงแดมุน ช้อปของถูก หาของอร่อยกินถูกใจทัวริสไทยเป็นอย่างยิ่ง
เที่ยวเกาหลี ตอนที่ 4
เยี่ยมชมพระราชวังเคียงบ๊อค ราชวังหลวงในยุคโชชอน เดินเที่ยวแวะถ่ายจุดไฮไลท์สำคัญ แอบถ่ายรูปทหารยามเฝ้ายาม แล้วไปเติมพลังด้วยเมนูอร่อยๆอย่าง ชาบูชาบูเมนูธรรมดาที่ไม่ธรรมดา
เที่ยวเกาหลี ตอนจบ
เดินขึ้นเขานัมซานสู่ โซลทาวเวอร์ คล้องกุญแจคู่รักกับสายฝนและปิดท้ายด้วยทริปบุกทะลวงย่านการค้าเมียงดง เยือนร้าน อั๊กดง จิมดักชื่อดัง เดินเที่ยวช้อปปิ้งจนหน่ำใจก่อนเดินทางกลับ ไทย
วิธีแสดงความคิดเห็นบนบล๊อกผ่าน facebook
เลื่อนลงไปล่างสุดของบทความ คลิ๊กคำว่า "ไม่มีความคิดเห็น" เพื่อแสดงความคิดเห็น(งงมั้ยล่ะ) ตอนนี้เปิดให้แสดงความเห็นผ่าน facebook ได้สำหรับใครที่ไม่มี Account ของ Gmail นะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น