ภาพทั้งหมดผู้เขียนถ่ายเอง ทั้งภาพและเนื้อหาได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์ กรุณาอย่านำไปแอบอ้างหรือใช้เพื่อประการใดๆโดยไม่ได้รับอนุญาต
ต่อจากตอนที่แล้ว เราและคณะทัวร์เดินทางจากการพายแคนนูที่ถ้ำเขาทะลุ ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงหมู่บ้านมุสลิม หมู่บ้านกลางทะเล ณ เกาะปันยีค่ะ เป็นหมู่บ้านชาวทะเลที่มีพื้นที่ขนาดเพียงแค่ 1 ไร่ ตั้งอยู่เหนือผืนน้ำทะเลที่กว้างใหญ่เวิ้งว้างทางชายฝั่งอันดามัน บ้านเรือนถูกสร้างยกระดับให้พ้นการขึ้นลงของน้ำทะเล ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นมุสลิมซึ่งยังยึดถือขนบธรรมเนียมแบบเก่าไว้อย่างเคร่งครัด นักท่องเที่ยวสามารถนั่งเรือไปสัมผัสเสน่ห์ของวิถีชีวิตชุมชนที่ผสมผสานระหว่างวิถีชาวมุสลิมแบบดั้งเดิมและวิถีชาวเกาะ
(ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก adventure.tourismthailand)
 |
| ถึงแล้วค่ะ หมู่บ้านมุสลิม เกาะปันยี |
หลังจากทานอาหารเสร็จก็ออกเดินเที่ยวหมู่บ้านบนเกาะปันยีซึ่งส่วนใหญ่ทุกเปลี่ยนให้เป็นร้านจำหน่ายของฝาก แม้จะขาดเสน่ห์ความเป็นหมู่บ้านชาวเกาะไปสักนิดแต่สามารถหาซื้อของฝากได้ในราคาย่อมเยาว์ค่ะ เสื้อยืดราคา 100-200 บาท ผ้าคลุมบาติค 150-250 บาทเป็นต้น (ครอบครัวเราซื้อผ้าบาติคกลับมาถุงใหญ่เลยค่ะ)
สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับการมาเยือนเกาะนี้ คือห้ามนำหรือดื่มแอลกอฮอล์ เพื่อรักษาวัฒนธรรมและประเพณีที่ดีงามของพี่น้องชาวมุสลิมนะคะ ซึ่งบนเกาะจะมีป้ายประกาศเตือนอยู่เยอะแยะเลยค่ะ
ต่อมาคือจุดไฮไลท์ของทริปครั้งนี้ "เขาตาปู" หรือ "เจมส์บอนด์ไอรแลนด์" ใช้เวลาประมาณ 15-20 นาทีจากเกาะปันยีไปยังจุดหมาย ในขณะเดินทาง แสงแดดที่แผดเผาเราที่หมู่บ้านกลางน้ำกลับหลบหน้าหายไปเฉยๆปล่อยให้เมฆดำทะมึนเข้ามาแทนที่ ตอนนั้นใจไม่ดีแล้วค่ะ กลัวฝนตกแล้วต้องติดอยู่กลางทะเลหรือบนเกาะมาก แต่พี่ไกด์บอกว่าไม่ต้องเป็นห่วง จังหวัดแถบใต้อากาศแปรปรวนแบบนี้ทั้งวันและเพราะคลื่นทะเลไม่แรงจึงแน่ใจได้ว่าเราจะสามารถเดินทางได้อย่างปลอดภัย
ไม่นานก็มาถึงบริเวณเขาตาปูพร้อมกับลมแรง ว่าไปก็เย็นดีนะ ดีกว่าเดินท่ามกลางแดดเปรี้ยงๆแต่ขอเสียคือทำให้ถ่ายรูปออกมาไม่ค่อยสวยเท่าไร ต้องขออภัย ณ ตรงนี้เพราะสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวยจริงๆค่ะ และอีกปัจจัยที่ทำให้การถ่ายรูปของเราไม่ราบรื่นเพราะนักท่องเที่ยวจากแผ่นดินใหญ่!!! เราไม่มีเจตนาที่ไม่ดีนะคะ แค่อยากจะบอกว่า ทัวร์จีนเยอะมาก!!!!! รองลงมาคือทัวร์แขกและฝรั่ง ... แทบจะไม่มีคนไทยเลย ภาพที่ได้ออกมาก็ประมาณนี้ค่ะ
ก่อนจะไปชมเขาตาปูกัน ต้องแวะชมเขาพิงกันก่อนค่ะ ภูเขาหินแตกออกจากกัน หินที่เล็กกว่าเลื่อนลงมา ฐานจมลงไปในดินแยกห่างจากกัน ส่วนด้านบนยังคงพิงกันอยู่ โดยทางอุทยานฯ เก็บค่าขึ้นเขาพิงกัน ชาวไทย ผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท ชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ 200 บาท เด็ก 100 บาท ... แต่เนื่องจากลมแรงจึงขอไม่เดินขึ้นดีกว่า
เดินเลยเข้าไปอีกนิดเดียวก็เจอกับทิวทัศน์ในตำนานแห่งท้องทะเลไทย
หลังจากถ่ายภาพเสร็จฝนก็ตกลงมาค่ะ แต่พี่ไกด์กับคนขับเรือดูใจเย็นมาก ไม่นานฝนก็หยุด ท้องฟ้าเปิดต้องรีบเดินทางกลับก่อนที่สภาพอากาศจะแปรปรวนมากกว่านี้ ... สรุปวันนี้เริ่มออกเดินทางตั้งแต่แปดโมงเช้าและกลับถึงที่พักประมาณหกโมงเย็นค่ะ เหนื่อยใช่เล่นแต่ก็ยังมีแรงออกไปเดินหาอะไรกินแถวหาดป่าตองต่อ ตอนหน้าเราจะไปเที่ยวตามจุดไฮไลท์ของภูเก็ตกันค่ะ
 |
| มุมที่มองจากที่เทียบเรือออกไปทะเลค่ะ |
วันแรกขอพาทุกคนเข้าพักโรงแรมสุดหรูบริเวณหาดป่าตอง บริการดีประทับใจ ที่สำคัญบรรยากาศโรงแรมสวยงามมากสมคำร่ำลือกับที่นี้ โรงแรมดวงจิตต์ แอนด์ สปา
พักที่โรงแรมดวงจิตต์ รีสอร์ทแอนด์สปา นอกจากจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศรีสอร์ทสุดหรูแล้วที่ขาดไม่ได้คือ "การทำสปา"ค่ะ
ทาครีมกันแดดให้เรียบร้อยแล้วคว้าหมวกใบเก่งออกเดินจากโรงแรม ใช้เวลาไม่ถึง 3 นาทีก็ถึง "หาดป่าตอง" ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดทั้งในไทยและต่างประเทศ
