Contact Me

...ใครมีคำถามทั้งเรื่องกินและเที่ยวติดต่อ...


อีเมล : jickamint@gmail.com

เที่ยวญี่ปุ่นไม่ง่ายอย่างที่คิด : ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (1)

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

อย่างที่สัญญาไว้ในตอนที่แล้วว่าจะพาไปเที่ยวชมฟูจิซังแต่ก่อนอื่นขอพาไปรู้จักรถไฟสาย Yamanote (สายสีเขียว)ที่วิ่งเฉพาะในโตเกียวกันก่อน รถไฟสายนี้จะวิ่งวนเป็นวงกลมรอบกรุงโตเกียวโดยจะมีรถออกจากสถานีทุกๆ 3-5 นาที หน้าตาแผนที่เป็นแบบนี้ค่ะโดยรถจะวิ่งทั้งวนซ้ายและวนขวา จงขึ้นให้ถูกชานชาลา ถ้าหากไม่แน่ใจก็สามารถถามเจ้าหน้าที่และนายสถานีได้

เมื่อศึกษาจนเข้าใจก็ไม่ต้องกลัวว่าโรงแรมของเราจะตั้งอยู่บริเวณไหนในกรุงโตเกียว ขอแค่ขึ้นรถไฟสายสีเขียวนี้ให้เป็นก็สามารถท่องไปในแหล่งท่องเที่ยวดังๆได้ทั่วโตเกียว หรือจะเลือกเดินทางกับสายอื่นๆก็ได้โดยรูปแบบรถไฟที่ให้บริการก็จะต่างกันออกไปแต่ไม่ต้องกังวลค่ะเพราะถ้าหากมี JR Kanto Pass ในมือ สามารถขึ้นทุกสายได้ไม่จำกัด!!!


เป้าหมายปลายทางของเราในวันนี้คือสถานี Kawaguchiko เพื่อไปชมฟูจิซัง จากแผนที่ใหญ่ของ JR East Line จะเห็นว่าไม่มีสถานีย่อยๆเท่าภาพแรก ฉะนั้นการเดินทางออกจากพื้นที่โซนสีเขียว(ในโตเกียว)นั้นต้องหาทางไปตั้งต้นบริเวณสถานีที่ปรากฎใน JR East Line ให้ได้

ขั้นแรก
ขึ้น Yamanote สายสีเขียวจากสถานี Shin-Okubo 
>> ลงสถานี Shinjuku (ซึ่งมีปรากฎในแผนที่ใหญ่ของ JR East Line) 

และเมื่อมาตั้งต้นที่สถานีใหญ่ได้แล้ว ต่อไปเป็นวิธีการเดินทางไปชมฟูจิซัง ณ Kawaguchiko
>> ที่สถานี Shinjuku เปลี่ยนขึ้นรถไฟ AZUZA **Reservation 
>> ลงสถานี Otsuki เปลี่ยนขึ้นรถไฟสายเอกชน Fujikyo **No Reservation 
>> ลงสถานี Shimoyoshida (ชมChureito Pagoda) และปิดท้ายด้วยสถานี Kawaguchiko


**Reservation คือ ??
รถไฟบางสายบางขบวนต้องทำการ "reserve" หรือ"จองที่นั่ง"ก่อนขึ้นค่ะ ถามว่าจำเป็นต้องจองเสมอมั้ย? ตอบเลยว่าไม่แต่ Highly Recommended ค่ะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ที่ JR East Center อธิบายไว้ว่ารถไฟมักมีคนใช้บริการเยอะทางที่ดีควรจองที่นั่งให้เรียบร้อย โดยเฉพาะในช่วงเช้าเข้างานและช่วงเย็นเลิกงานเนื่องจากมีคนใช้บริการเยอะบางครั้งถึงกับต้องบังคับจองกันเลยทีเดียว


แต่ในเมื่อในมือมี JR Pass แล้วขี้เกียจจองหรือจองไม่ทันก็สามารถใช้บริการได้แต่ต้องขึ้นเฉพาะตู้โดยสารสำหรับผู้ไม่ได้ทำการจอง ต้องสังเกตจากป้าย No Reservation ตามตู้ขบวนเอาได้ โดยส่วนใหญ่จะอยู่ประมาณตู้ที่ 7 ถ้าหากไม่แน่ใจ แน่นอนว่าสามารถถามเจ้าหน้าที่ได้ (ซึ่งเรามั่นใจว่าเจ้าหน้าที่คงแนะนำให้ไปจองที่นั่งเสีย) และเมื่อทำการจองแล้วทางสถานีจะออกบัตรหน้าตาแบบด้านบนให้เรา

เดินตามหาป้ายลักษณะแบบนี้ (พวก Reservation / Information / JR)
วิธีการจองก็แสนง่ายดายเพิ่งแค่เดินไปที่จุดบริการที่ขึ้นป้ายไว้ว่า Reservation (เจอเคาน์เตอร์ไหนที่มีเจ้าหน้าที่อยู่ เดินเข้าไปเลยค่ะ) ยื่น JR Pass ให้เขาพร้อมพูดเป็นภาษาประกิตอย่างคล่องแคล่วว่า I want to make a reservation for ... อะไรก็ว่าไป เจ้าหน้าที่ก็จะถามจำนวนผู้ร่วมเดินทางของเราและออกตั๋วพร้อมเลขที่นั่งบนรถไฟขบวนนั้นๆให้กับเรา "ง่ายนิดเดียว"

           อย่าพึ่งตกใจไป ถ้าหากยังนึกภาพไม่ออกตามมาดูภาพสวยๆพร้อมคำอธิบายกันนะคะ

ตื่นแต่เช้าออกจากโรงแรมตั้งแต่ 6 โมงเช้าตรงไปที่สถานี Shin-Okubo ซึ่งอยู่ไม่ห่างจากโรงแรมจับรถไฟสาย Yamanote สีเขียวไปชินจุกุกันโดยจาก Shin-Okubo ไป Shinjuku นั้นใช้เวลาเดินทางเพียงสถานีเดียวเท่านั้น ฉะนั้นจงสอบถามข้อมูลหรืออ่านป้ายต่างๆให้ละเอียดรอบคอบเพราะถ้าเผลอขึ้นผิดชานชาลาวนไปอีกทาง แทนที่จะไปแค่สถานีเดียวอาจลงเอยด้วยการนั่งรถไฟอ้อมโลกได้


รถสายนี้ทั้งวนซ้ายและวนขวา จงขึ้นให้ถูกชานชาลา
ป้ายระบุทั้งชื่อสถานีและเวลาเดินทาง
ยืนตากลมอยู่ไม่นานก็มีรถไฟสีขาวคาดสายสีเขียวเทียบท่าชานชาลา(Track1)รีบเบียดตัวเข้าไปอย่างไม่รอช้า ระหว่างอยู่บนรถไฟในฐานะชาวต่างชาติอย่าลืมสังเกตหน้าจอแสดงชื่อสถานีอยู่เรื่อยๆด้วย ซึ่งบนจอจะแสดง "เวลาที่ใช้เดินทาง" กับ "ชื่อสถานี" เช่น Sinjuku 3 หมายความว่าสถานีชินจุกุจะถึงในอีกสามนาที ... ลองจับเวลาตามปรากฎว่า เป๊ะ!!! ใช้เวลาพอดีกับที่หน้าจอ ขอชาบูระบบขนส่งมวลชนของญี่ปุ่น ชาบูๆๆ



พอถึงสถานีรถไฟชินจุกุให้เดินลงจากชานชาลา(สามารถทำได้กับทุกสถานี ถ้าคิดอะไรไม่ออกให้เดินลงชั้นล่าง ยืนป้ายแล้วตั้งต้นใหม่) ซึ่งด้านในสถานีชั้นล่างก็วุ่นวายคลาคล่ำไปด้วยผู้คน ยิ่งออกเดินทางในช่วงเช้าพบคนญี่ปุ่นในสูทดำเดินกันให้ทั่ว ป้ายสองข้างในอาคารจะมีตัวเลขชานชาลาตัวใหญ่ติดไว้อย่างชัดเจน ตั้งสติค่อยๆหาชานชาลาที่ต้องการแล้วเดินขึ้นบันไดไป


ทางที่ดีก็ถามจากนายสถานีก่อนว่าต้องขึ้นรถสายอาซูซะที่ชานชาลาไหนและให้ดีที่สุดควรเช็คชานชาลาจากเว็บ hyperdia(วิธีใช้hyperdiaคร่าวๆ) ขบวนอาซูซะในวันนั้นต้องไปขึ้นที่ชานชาลา 10ค่ะ


ยืนรอรถไฟท่ามกลางอากาศหนาวเย็นไม่นานรถไฟสีสวยก็เทียบท่า ก้าวขึ้นรถไม่รอช้าจับจองที่นั่งหยิบชุดข้าวปั้นอาหารเช้าที่แวะซื้อในสถานี ซูซิกล่องนี้ระบุราคาไว้สองจุด 333เยนคือราคาข้าวส่วน 360เยนคือราคาหลังรวมภาษีแล้วเป็นราคาจริงที่ต้องจ่าย อาหาร360เยนหรือประมาณ180บาทมื้อนี้ประกอบไปด้วยข้าวปั้นห่อสาหร่ายไส้ไข่หวาน ซูซิหน้าไข่หวานและข้าวยัดไส้เต้าหู้ทอดซึ่งขอบอกว่า อร่อยมาก!!!!


นั่งเคี้ยวซูซิจิบชาเขียวร้อนให้คล่องคอสักประมาณครึ่งชั่วโมง รถไฟ Limited Express ASUZA หรือรถไฟขบวนพิเศษอาซูซะ ก็นำเรามาถึงสถานี Ostuki ยังไม่ทันตั้งตัวนายสถานีประกาศ รถไฟสาย Fujikyu กำลังจะออกแล้วให้ขึ้นรถด่วน!!! หลังจากโชว์ JR Pass กับเจ้าหน้าที่ก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไป


Fujikyu นี้เป็นรถไฟสายเอกชนซึ่งโดยปกติไม่รวมอยู่ใน JR East Line แต่เนื่องจากเป็นรถไฟสายท่องเที่ยวชื่อดังเมื่อไม่นานมานี้จึงพึ่งมีการประกาศให้รวมอยู่ในขอบเขตการใช้ของ Pass ด้วยถ้าสังเกตในแผนที่ รถไฟสายนี้จะถูกจัดใน Non-JR แต่อย่างไรก็ดีเท่ากับว่าถ้าหากใครที่ถือ JR Pass สามารถขึ้นรถไฟสายนี้ได้ ฟรี!!จนสุดสาย(ไม่รวมรถบัสจากสถานี)


ส่วนนี้คือภาพภายในรถไฟสะอาดสะอ้านน่าดู ติดตั้งฮีตเตอร์ตัวใหญ่ไว้ใต้เบาะอบอุ่นโดยสารสบาย และอีกภาพคือภาพรถไฟอีกขบวนค่ะ เป็นสาย Fujikyu เหมือนกันแต่แค่คนละสี สรุปคือการนั่งรถไฟจากสถานี Ostuki ต้องขึ้นรถที่มีป้าย Fujikyu ไม่ว่าจะขบวนสีอะไรก็ตามแต่อย่าเผลอขึ้นขบวนที่มีรูปตัวการ์ตูนภูเขาไฟฟูจิ(เก็บอธิบายตอนหน้า)เพราะจะวิ่งไปยังปลายทางคนละสาย

นั่งหัวขบวนใกล้ชิดพี่คนขับ
สองวันก่อนไปเยือนฟูจิหิมะพึ่งตกไปหมาดๆจึงพบรอยอารยธรรมหิมะสองข้างทาง วิวสวยมาก!!!!!! ได้ชมบรรยากาศชนบท เมืองเล็กๆสองข้างทางเหมือนกำลังไปเที่ยวบ้านโนบิตะ บ้านเรือนถอดมาจากการ์ตูนเรื่องโดเรม่อน เป๊ะ!! นั่งชมวิวดูหิมะเพลินตา ไม่นานก็เจ้าหน้าที่ก็เดินมาตรวจตั๋วและเช่นเคยเพียงแค่โชว์ JR Kanto Pass เท่านั้นไม่ต้องจ่ายตังเพิ่มแต่อย่างใด

... สักพักคุณป้าชาวญี่ปุ่นใจดีที่นั่งข้างๆก็สะกิดๆชี้ออกไปนอกหน้าต่าง ...


ตื่นเต้นมาก หัวใจเต้นตุ๊บๆ ฟูจิซังหรือภูเขาไฟฟูจิของจริงแม้มองในระยะไกลจากบนรถไฟยังสวยสุดๆแบบนี้ ไม่อยากจะคิดถึงตอนไปถึงจุดชมวิวที่เจดีย์แดงกับที่ทะเลสาบคาวากูจิโกะเลยว่าจะสวยแค่ไหน ตอนต่อไปเรามาต่อกันเรื่องการเดินทางไปจุดชมวิวในตำนานที่เจดีย์แดงหรือ Chureito Pagoda และที่ทะเลสาบ Kawaguchiko กันนะคะ
                                                                                                                                                              
ใครยังไม่อ่าน  !!เชยมาก!!

ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว คลิ๊กจร้า
Suica Card และ Korean Town ในย่านชินโอคุโบ คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (1) คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (2) คลิ๊กจร้า
ชมวิวทะเลสาบ Kawaguchiko และตามหาร้านอร่อย คลิ๊กจร้า
บุฟเฟต์ขาปูยักษ์ ณ Tokyo Station Buffet คลิ๊กจร้า

Infinity Challenge ซับไทย : แปลและฝังซับเอง

ตอนนี้ตัวเรา(พยายาม)ก้าวไปอีกขั้นจากเขียนบล็อกก๊อกแก๊กเป็นผู้แปลและทำซับรายการ เริ่มแรกจาก Infinity Challenge ก่อนเลยเพราะเห็นว่าเป็นรายการเกาหลีที่สนุกรายการหนึ่ง น่าเสียดายที่ไม่มีใครทำซับไทยให้คนไทยดูกัน ลำพังตัวเราก็ได้แต่นั่งดูซับอังกฤษเงียบๆคนเดียวก็ไม่สนุก อยากแบ่งปันความสนุกให้กับทุกคนบ้าง

แปล พิมพ์ ทำและฝังซับคนเดียวอาจมีข้อผิดพลาด ซับเคลื่อนบ้างนิดหน่อยและอาจไม่ค่อยสวย(เพราะต้องถมดำทับซับอังกฤษ) ขออภัยมานะที่นี้ด้วยนะคะ




Infinity Challenge 413 ตอน I'm an action star!! ซับไทย
ขอบคุณภาพจาก runningmannews.wordpress.com
ตอนที่ 1 https://www.facebook.com/video.php?v=366599550204474&theater
ตอนที่ 2 https://www.facebook.com/video.php?v=366845450179884&theater
ตอนที่ 3 https://www.facebook.com/video.php?v=368886769975752&set=vb.366596216871474&type=2&theater


Infinity Challenge 319 ตอน Heat Wave Era!! ซับไทย
ขอบคุณภาพจาก dddfanclub.com
ตอนที่ 4 https://www.facebook.com/366596216871474/videos/vb.366596216871474/448324295365332/?type=2&theater
ตอนที่ 5 https://www.facebook.com/366596216871474/videos/vb.366596216871474/448786235319138/?type=2&theater


งานศพมยองซู (Cut)


ลิ้งค์ 1 https://www.facebook.com/366596216871474/videos/vb.366596216871474/451688175028944/?type=2&theater
https://www.facebook.com/366596216871474/videos/vb.366596216871474/451688175028944/?type=2&theater


IC Korea Tour (Cut)


งานประมูล "ขาย" จองจุนฮา (Cut)

เที่ยวญี่ปุ่นไม่ง่ายอย่างที่คิด : Suica Card คือ? Korean Town ในญี่ปุ่น?

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

ก่อนที่จะเล่าเรื่องเรื่องราวการผจญภัยในแดนอาทิตย์อุทัยเมืองปลาดิบถิ่นซามุไรบ้านเกิดของโดเรม่อนต่อ ขออธิบายขยายความว่าด้วยเรื่องของ Suica Card กันก่อน ซึ่งเกริ่นไว้ในตอนที่แล้วว่า มันจะทำหน้าที่คล้ายๆ Carrot Card ของไทยคือเป็นบัตรแอนกประสงค์นอกจากสามารถใช้ได้ทั้งขึ้นรถไฟยังมีประโยชน์อื่นๆอีกมากมาย
Suica Card เป็นบัตรเติมเงินที่สามารถใช้ขึ้นระบบการขนส่งใน JR East และสามารถใช้แทนเงินสดเป็น e-Moneyโดยเจ้า Suica Card นี้ก็สามารถหาซื้อได้ที่ศูนย์ JR East Center ที่สนามบินนาริตะได้เช่นเดียวกับ JR Kanto Pass โดยต้องเสียค่า"ซื้อ"บัตรครั้งแรก 500 เยนและมี Deposit 1,500 เยน เท่ากับเมื่อเปิดบัตรครั้งแรกต้องจ่ายเงิน 2,000 เยน และเมื่อไม่ต้องการใช้บัตรแล้วสามารถ"ขาย"บัตรคืนได้(Refund)ในราคา 500เยนโดยไม่ว่าจะเหลือเงินอยู่ในบัตรมากน้อยเพียงใดก็ตาม

(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.tiewyeepoon.com/planning/suica/)
(และ http://www.jreast.co.jp/e/pass/suica.html)


โดยก่อนใช้โปรดสังเกตป้ายเหล่านี้ หากมีแปะไว้ล่ะก็สามารถควักการ์ดออกมาโชว์พลังได้
ภาพจาก jreast.com
โดยเราขอยืนยันว่าการมี Suica Card ไว้ในครอบครองจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง
และต่อไปนี้จะพาทุกคนไปใช้เจ้าบัตรเติมเงินนี้กัน

ว่าด้วยประโยชน์ของ Suica Card
นอกจากใช้กับระบบขนส่งมวลชนในกลุ่ม JR Eastได้(แท็กซี่ก็ได้)แล้วยังสามารถใช้ในการซื้อสินค้าตามร้าน Kiosk ซึ่งเป็นร้านสะดวกซื้อที่สามารถพบได้ทุกทั่วมุมถนนเฉกเช่น7-11ในไทยแลนด์ทั้งนี้ไม่ใช่แค่ร้าน Kiosk เท่านั้นแต่รวมถึงร้านสะดวกซื้ออื่นๆที่มีสัญลักษณ์แบบภาพด้านบนอีกด้วย รวมไปจนถึงใช้จ่ายแทนเงินสดที่ตู้กดอัตโนมัติต่างๆอีกด้วย


หลังจากซื้อการ์ดยูกิ เอ๊ย Suica Card ราคา 2000เยนจากสนามบินก็เริ่มต้นประเดิมใช้ทันทีที่ตู้กดอัตโนมัติ ณ ชานชาลารอขึ้นรถไฟเข้าเมือง ถ้าสังเกตให้ดีตู้กดเครื่องดื่มที่ญี่ปุ่นจะมีเสนอขายทั้งแบบเครื่องดื่มเย็นและเครื่องดื่มร้อนเหมาะกับสภาพกาศ 8 องศาในวันที่เดินทางไปถึงยิ่งนัก ทั้งนี้ต้องสังเกตสัญลักษณ์ร้อนเย็นให้ดีเพราะครั้งแรกที่กดตู้ เราอยากสอยน้ำพีชเย็นๆมาดื่มสักหน่อยแต่กลับเผลอกดแบบร้อนออกมาซะได้ ... อร่อยไปอีกแบบ ...


และถ้าไม่แน่ใจว่าตู้อัตโนมัติที่ตั้งอยู่นั้นจะสามารถใช้ Suica Card ได้หรือไม่ แล้วก็อย่าลืมเช็คสัญลักษณ์(รูปขวา)บนตู้ด้วยนะคะ ถ้าหากพบสัญลักษณ์ก็ประกบการ์ดกับเครื่องอ่านเท่านี้ก็ได้เครื่องดื่มอร่อยๆโดยไม่ต้องเสียเวลาหาเหรียญเพื่อหยอดให้ยุ่งยาก
ชอบที่สุดคือกระป๋องนี้ น้ำข้าวโพดร้อนๆจากตู้อัตโนมัติ
ขอชาบูเครื่องดื่มจากตู้กดอัตโนมัติเพราะช่วยให้เรารอดชีวิตมาหลายต่อหลายมื้อ ช่วงที่เราไปเยือนญี่ปุ่นอากาศหนาวเย็นลมพัดแรงอยู่เนืองๆและเพื่อคลายหนาวไม่จำเป็นต้องวิ่งวุ่นเข้าร้านค้าเพื่อหาอะไรร้อนๆลงท้องแค่เดินไปยังตู้สี่เหลี่ยมที่ตั้งอยู่ทั่วมุมเมืองก็สามารถครอบครองเครื่องดื่มร้อนๆไว้ในมือ

ประโยชน์ต่อมาคือใช้บริการ Coin Locker ภายในสถานีหรือสนามบิน
Coin Locker คือตู้หยอดเหรียญสำหรับฝากของค่ะ ซึ่งพบได้ทุกสถานีรถไฟจริงๆ สะดวกสบายอย่างยิ่งโดยเฉพาะสำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ไม่จำต้องแบกกระเป๋าสัมภาระลากไปมา จงเข้าร่วมโครงการฝากกระเป๋าไว้กับCoin Lockerที่สถานีใดสถานีหนึ่งเสีย ออกเที่ยวให้หนำใจ แล้วค่อยย้อนกลับมาทวงกระเป๋าคืนก็ได้

ส่วนตัวเราใช้บริการเจ้าตู้หยอดเหรียญในวันสุดท้ายก่อนเดินทางกลับ หลังจากเช็คเอาท์ออกจากโรงแรมก็แบกกระเป๋าขึ้นรถลงเรือไปยังสนามบินแต่เช้า และด้วยความตั้งใจที่ต้องการแวะเทียวชมเมืองนาริตะสักนิดก่อนบินกลับไทย(เป็นวันที่โชคดีที่สุด เพราะเหตุใดอย่าลืมติดตามอ่านตอนต่อไปนะคะ) จึงต้องทำการฝากกระเป๋ากับ Coin Locker สักเล็กน้อย

เมื่อเดินพ้นจากบริเวณร้านค้าอยู่ทางขวามือติดกับห้องน้ำ (ชั้นสี่)
พิกัดตู้ฝากสัมภาระนี้(เท่าที่สอบถามจากพนักงาน)มีตั้งอยู่สองจุดด้วยกัน คือชั้นหนึ่งและชั้นสี่ เพื่อไม่เป็นการเสียเวลาเราจึงเลือกฝากที่ชั้นสี่ซึ่งเป็นจุดที่ใกล้กับบริเวณเช็คอิน (Terminal 1) มากที่สุด โดยที่ตู้ทางขวามือจะเป็นตู้รุ่นเก่ารับเฉพาะเหรียญส่วนตู้ทางซ้ายมือใหม่กิ๊กรับSuica Cardจ้า


ยืนยันความสามารถในการใช้บัตรด้วยสัญลักษณ์ด้านบน ว่าแล้วก็แตะหน้าจอทำตามที่เครื่องจักรอิเล็คทรอนิกส์บอกเราไปเรื่อยๆ โดยค่าบริการต่อการเช่าหนึ่งตู้จะอยู่ 500เยน ซึ่งเจ้าป้ายสีขาวด้านบนแจ้งว่า "เที่ยงคืนในวันนั้นๆจะนับเป็นหนึ่งวัน" หมายความว่าสามารถฝากได้แค่ถึงเที่ยงคืนของวันที่ฝากเท่านั้น

และอยากขอเตือนว่า 500เยนที่ต้องจ่ายนั้นต้องจ่ายด้วยการแตะบัตรเพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือจะต้องมีเงินในบัตรมากกว่า500 เยนจึงสามารถจ่ายได้ อย่างที่เห็นในภาพเงินในบัตรของน้าเราเหลือแค่ 362เยนซึ่งเราพยายามทำรายการต่อ(พยายามจะแบ่งจ่ายสองบัตร)แต่ทำไม่ได้ เมื่อการ์ดชาร์ตพลังหมดประโยชน์จึงต้อง back to basic หยอดเหรียญกับตู้โบราณตามระเบียบ


เมื่อทำการฝากสัมภาระเรียบร้อย เจ้าตู้อัจฉริยะจะทำการปริ้นใบเสร็จหน้าตาแบบนี้ ภาพซ้าย(สีเหลือง)คือใบเสร็จจากตู้หยอดเหรียญรุ่นเก่า ส่วนภาพขวา(สีเขียว)นั้นมาจากตู้ที่ผ่านการใช้บริการ Suica Card ซึ่งรายละเอียดบนใบเสร็จต่างกันอย่างสิ้นเชิง เจ้าใบสีเหลืองจากตู้โบราณจะแจ้ง PIN เสร็จสรรพเพื่อใช้ไขตู้ไว้ที่ท้ายใบซึ่งไม่มีปัญหาอะไร

แต่!! ถ้าสังเกตที่ใบสีเขียวกลับไม่ระบุ PIN ใดๆไว้โดยตอนแรกเราก็หลงคิดว่าเลข 3013 คือ PIN แต่ที่ไหนได้เป็นแค่หมายเลขล็อคเกอร์ แบบนี้จะเอากระเป๋าคืนยังไล่ะ? PINอยู่ไหน? สรุปคือไม่มี PINใดๆทั้งสิ้น วิธีการทวงกระเป๋าคืนนั้นแสนง่ายดายแค่นำการ์ดวิเศษแปะกับแท่นอ่านเท่านั้น ... จงเก็บ Suica Cardที่ใช้จ่ายไปให้ดี!!

ฉะนั้นสำหรับใครที่ต้องการขาย(refund) Suica Card เอาเงิน 500เยนคืนล่ะก็ ท่านต้องเก็บมันไว้จนวินาทีสุดท้ายคิดทบทวนให้ดีว่ายังต้องใช้มันอยู่หรือไม่ เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่จึงค่อยขายคืน เรายังคิดโล่งใจถ้าวันนั้นเราเผลอขายคืนการ์ดไปก่อนเอากระเป๋าล่ะจะเกิดอะไรขึ้น เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นเครื่องไม่ทันแน่ๆ 


ย่าน Korean Town ณ ชินจุกุ

มองไปตกใจนึกว่าตัวเองอยู่เกาหลี
เราพักอยู่ที่โรงแรม Tokyo Plaza Hotel ซึ่งตั้งอยู่ใน Korean Town ย่านShinjukuใกล้กับสถานี Shin-Okubo ซึ่งเป็นสถานีแยกย่อยที่จำต้องใช้รถไฟสาย Yamanote Line เพื่อเดินทางอันเป็นสายที่ใช้เดินทางในกรุงโตเกียวโดยเฉพาะ หากให้เปรียบเทียบง่ายๆคือ(เริ่มตั้งแต่เช้า)จากสนามบินนาริตะซึ่งตั้งอยู่ที่จังหวัดชิบะเราจำต้องนั่งN'EXข้ามเมืองเพื่อเข้าโตเกียว ก็เหมือนกับนั่งAirport Linkจากสุวรรณภูมิ จ.สมุทรปราการเข้ากรุงเทพ และเมื่อเข้าสู่เมืองหลวงอย่างโตเกียวหรือกทม.ก็นั่งYamanote LineหรือBTSไปอนุสาวรีย์ชัย ไปชิดลม หรือไปชินจุกุตามด้วยชินโอคุโบก็ตามแต่ (พอนึกภาพออกหรือยังคะ)

ปล. สุวรรณภูมิอยู่สมุทรปราการจริงๆนะ www.suvarnabhumiairport.com

หลังจากเช็คอินเรียบร้อยเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่าจึงออกมาเดินทอดน่องในโคเรียนทาวน์สักหน่อย อากาศหลังสี่ทุ่มลดลงอีกจากเมื่อเช้าอยู่ประมาณ7-8องศา ลมพัดแรงมาก เนื่องจากเราเป็นคนขี้หนาวจึงเตรียมผ้าปิดจมูกมาด้วย(เปล่าเป็นหวัดแค่อยากบังลม)พอคาดผ้าปิดจมูกปุ๊บก็เนียนไปกับชาวญี่ปุ่นปั๊บไม่จำต้องหายูกาตะ กิโมโนมาใส่ก็เข้าถึงความเป็นญี่ปุ่นได้!!!

แสงสีย่านชินโอคุโบยามค่ำคืน
ก่อนออกเดินพนักงาน Front Desk ยื่นแผนที่การเดินเที่ยวในย่านนี้มาให้ ซึ่งไม่มีภาษาอังกฤษสักตัว!!! มีแต่รูปภาพกับภาษาญี่ปุ่นยัวเยียพึ่งจะเห็นคุณค่าของวิชาลูกเสือเนตรนารีก็วันนี้แล สวมวิญญาณชุดกาชาดถือไม้ง่ามทำความเคารพแล้วออกเดินตามแผนที่

แผนที่จากGoogle Mapแล้วติดปะภาพด้วยตัวเอง
เอาเป็นว่าเราตั้งจุดเริ่มต้นที่สถานี Shin-Okubo ให้เดินลอดใต้ทางรถไฟไป (เส้นสีแดง Yamanote Line) ซึ่งในอุโมงค์ทางลอดนั้นจะมีการเพ้นท์ภาพน่ารักๆตามผนังสร้างบรรยากาศคิขุให้กับสถานที่ เมื่อพ้นทางลอดไปก็จะพบกับสี่แยกใหญ่ Korean Town จะอยู่ในโซนสีเหลืองที่มาร์กไว้

ถ้าเลือกเดินตรงไปจะพบกับร้านค้าของที่ระลึกศิลปินเกาหลีมากมาย!! เราอาจไม่ค่อยสันทัดเรื่องดาราเกาหลีสักเท่าไรแต่บอกได้เลยว่ามีเยอะจริงเป็นสวรรค์ติ่งเกาหลีขนาดย่อมๆในญี่ปุ่นเลยทีเดียว แต่ละร้านจะขายของศิลปินแต่ละวงต่างกัน โดยร้านที่สะดุดตามากที่สุดคือร้านของศิลปินวง BigBang มีลูกโป่งหน้าสมาชิกลอยเต็มร้าน ของที่ระลึกตั้งแต่กระเป๋าสตางค์ใบเล็กไปจนถึงหุ่นตัวใหญ่มีเพียบ เนื่องจาก No photo เลยไม่มีภาพมาฝาก ... หรือแม้แต่โรงแรมที่เราพัก ห้องอาหารก็ถูกเปลี่ยนให้เป็นที่ชาบู JYJ อีกด้วย (ขอเก็บภาพไว้โชว์ตอนหน้า)

กลิ่นไอเกาหลีลอยมาเตะจมูก
ถ้าเลือกเลี้ยวเข้าซอยให้ตรงไปจนสุดทาง(ไม่ต้องข้ามถนนใหญ่ไปต่อ) จะพบแหล่งร้านอาหาร(เกาหลี)!!! มากมายให้เลือกทาน ยังแอบขำตัวเอง นี่เราบินข้ามน้ำข้ามทะเลมากินอาหารเกาหลีที่ญี่ปุ่นเหรอเนี้ย!!! ท้องร้องโจ้กกกก ... ถอยหลังกลับหาร้านอาหารญี่ปุ่นไม่ทันแล้วขอลงเอยกับโอ๊ปป๊าสักมื้อแล้วกัน


เดินเรื่องมากเลือกร้านสักพักก็พบกับร้านนี้(อ่านชื่อร้านไม่ออก) เป็นร้านเงียบๆดูท่าทางน่าสบายจึงเดินเข้าไปขอฝากท้อง เรามาชมภาพบรรยากาศในร้านและเมนูอาหารเกาหลีที่ปรุง ณ ประเทศญี่ปุ่นกันเลยจ้า !!! จะสู้ที่เกาหลีได้หรือไม่ ตอนเที่ยวเกาหลี(กับทัวร์)


เมนูเริ่มด้วยเมนูเด็ดอาหารเกาหลีไม่สั่งไม่ได้คือ ซุปกิมจิ !! รสชาติจัดจ้านลิ้มรสกิมจิเต็มคำอร่อยสุดยอดพร้อมข้าวสวยญี่ปุ่นร้อนๆ ขอบอกเลยว่าให้ลืมรสชาติข้าวญี่ปุ่นที่เคยกินที่ไทยไปให้หมดซะ ข้าวสวยญี่ปุ่น


ตามด้วยไข่ระเบิด อิอิ ไข่ฟูอบหม้อดินเนื้อแน่นหอมอร่อยและปลาหมึกผัดซอสกิมจิ ไม่รู้เพราะหิวหรือเพราะอะไร เรารู้สึกว่ามันโออิชิมาก!!! อร่อยยิ่งกว่าต้นตำรับที่เคยกินที่เกาหลีหรือร้านจำแลงที่ไทยเสียอีก (สงสัยเพราะข้าวสวยอร่อยมั้ง กินกับอะไรก็อร่อยไปหมด)


ปิดท้ายด้วยพิซซ่าเกาหลี ใครที่คุ้นกับพิซซ่าญี่ปุ่นคงพอเห็นความเหมือนในพิซซ่าเกาหลีนี้ สอดไส้ผักคล้ายกันต่างกันที่ซอสราด ขอญี่ปุ่นต้องราดซอสข้นๆสีน้ำตาลโรยผงสีเขียวๆปิดท้ายด้วยแผ่นปลาแห้ง ส่วนของเกาหลีเสิร์ฟเพียวๆหาซอสราดเอาเองทานพร้อมซุปกิมจิ อร่อยโฮก


และนี่คือบรรยากาศในร้านค่ะ ซึ่งมีลายเซ็นศิลปินดาราเกาหลีเต็มไปหมด ขอยืนยันนั่งยันนอนยันเลยว่า Korean Town แห่งนี้เป็นสวรรค์ของติ่งเกาหลีของแท้ไม่ต้องไปเกาหลีไปญี่ปุ่นก็ฟินได้เจ้าค่ะ โดยที่มื้อความอร่อยในวันแรกตกอยู่ที่ 5,800 เยน!!! (100เยน = 30บาท) อย่างที่รู้ๆกันค่ะว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงลิ่วโดยเฉพาะอาหาร แพงซะ ... อยู่นานๆคงผอม ... แต่ข้าวของเครื่องใช้กลับถูกสวนทางกับอาหารอย่างน่าเหลือเชื่อ (เดี๋ยวจะพาไปตระเวนช้อปปิ้งร้านร้อยเยนและร้านสินค้าปลอดภาษีในตอนต่อๆไปเจ้าค่ะ)

ได้ฤกษ์งามยามดี ในตอนหน้าของพาทุกท่านไปชม "ฟูจิซัง" กัน
                                                                                                                                                              
ใครยังไม่อ่าน  !!เชยมาก!!

ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว คลิ๊กจร้า
Suica Card และ Korean Town ในย่านชินโอคุโบ คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (1) คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (2) คลิ๊กจร้า
ชมวิวทะเลสาบ Kawaguchiko และตามหาร้านอร่อย คลิ๊กจร้า
บุฟเฟต์ขาปูยักษ์ ณ Tokyo Station Buffet คลิ๊กจร้า

เที่ยวญี่ปุ่นไม่ง่ายอย่างที่คิด (ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว)

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน ลำพังเพียงอ่านบล๊อกหรือกระทู้ท่องเที่ยวของผู้รู้ก็ไม่ละเอียดเพียงพอโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ย่อมงงเป็นไก่ตาแตกเป็นธรรมดา สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง
รูปภาพในบล๊อกนี้ทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนทั้งสิ้น กรุณาอย่านำไปแอบอ้างหรือใช้เพื่อประการใดๆ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่คิดกลับไปมาหลายตลบว่าจะไปกับทัวร์หรือไปเที่ยวเอง ทั้งนี้เพราะเหตุที่มักจะเห็นบทความรวมถึงหนังสือต่างๆมากมายใจความว่า "เที่ยวญี่ปุ่นเองไม่ยาก" จึงเลือกที่จะเดินทางเอง... ถามว่าการแบ็คแพ็คเที่ยวญี่ปุ่นยากหรือไม่? เราขอตอบว่าไม่ง่ายอย่างที่สื่อส่วนใหญ่ทำให้เราเข้าใจ แต่!!ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ฉะนั้นสำหรับท่านใดที่หวังไม่ง้อทัวร์ละก็ท่านต้องทำการบ้านให้สุดความสามารถเพราะการเที่ยวญี่ปุ่น "ไม่ง่ายอย่างที่คิด"


ว่าด้วยเรื่องของเครื่องบิน >> ตั๋ว JR PASS และ Suica Card >> 
รถไฟ N'EX >> แท็กซี่ญี่ปุ่น >> Korean Town

ตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นนั้นมีราคามากน้อยต่างกันไปตามช่วงเดือนว่าเลือกเดินทางกับสายบินใด คลาสไหน? เป็นช่วงHi-seasonหรือไม่? เช่นช่วงฤดูหนาวอาจจะอยู่ที่ประมาณ 21,000บาทแต่ช่วงเดือนเมษายนฤดูชมซากุระราคาอาจขึ้นสูงถึง 24,000-25,000บาทเลยทีเดียว ซึ่งทริปแบกเป้จะสนนราคารวมมากน้อยเท่าใดอยู่ที่ราคาตั๋วเครื่องบินเป็นสำคัญ

ยกตัวอย่าง เพื่อนเราคนหนึ่งตั้งใจเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นมากจึงทำการจองตั๋วของสายการบิน"ข้ามปี" ราคาอยู่แค่หลักพันเท่านั้น(ไป-กลับ) แต่ราคาอันแสนถูกย่อมมาพร้อมกับที่นั่งเล็กจิ๋ว ไร้สิ่งอำนวยความสะดวกอึดอัดเบียดเสียดบนอากาศเป็นเวลา6ชั่วโมงเต็ม ... แต่ทั้งนี้ก็ตามแต่เพื่อนๆจะวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายและเดินทางอย่างไร ส่วนเราแบกเป้ครานี้ขอใช้บริการเครื่องบินแอร์บัส A380 ของการบินไทย


พาไปรู้จักแอร์บัส A380 และวิธี "นั่งอย่างไรให้เห็นภูเขาไฟฟูจิ"
แอร์บัส A380 นี้เองคือเจ้าของประโยค "Thai's newest and largest aircraft" หรือเครื่องบินพาณิชย์ที่ใหม่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของไทย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นลำดับต้นๆของโลก ซึ่งเครื่องที่ใช้เป็นรุ่น A380-800 มีทั้งหมด 507 ที่นั่ง แบ่งเป็น Royal First 12 ที่นั่ง, Royal Silk Business 60 ที่นั่ง และ Economy 435 ที่นั่ง (ขอบคุณข้อมูลจากเที่ยวญี่ปุ่น ดอทคอม)

เนื่องจากมีการแบ่งชนชั้นวรรณะบนเครื่องอย่างชัดเจน แต่ผู้ที่โดยสารชั้น Economy อย่าพึ่งน้อยใจเพราะในโซน"ชั้นประหยัดราคาสองหมื่นนี้"ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายไม่แพ้โซนหรูหรา


จะต่างกันก็แค่ในโซน First class ที่นั่งจะกว้างขว้างกว่า จอทีวีใหญ่กว่า นั่งนุ่มสะดวกสบายมีที่ให้ยึดแข้งขามากกว่า แต่ต้องขอยืนยันว่าที่นั่งในโซน Economy ก็ค่อนข้างนั่งสบายใช่ย่อย ส่วนหน้าจอด้านหน้าคือระบบความบันเทิงส่วนตัวมีทั้ง ทีวี เกมส์ เพลงและภาพยนตร์ให้เลือกชมเลือกเสพกันอย่างจุใจ แถมยังมีกล้องถ่ายทอดสดความเป็นไปจากกล้องบริเวณห้องนักบินอีกด้วย


แถมที่เก็บของเหนือศีรษะก็กว้างขวางฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่จัดเก็บคิทแคทหลากรสที่ตั้งใจจะแบกกลับไทย ... ลืมบอกไปค่ะว่าเจ้าแอร์บัส A380 ลำนี้มีสองชั้น!!! โดยบริเวณชั้นล่างจะเป็นที่นั่ง Economy ทั้งหมดส่วนชั้นบนหรือ Upper deck จะเป็นส่วนของ Royal First และ Royal Silk และติ่งเล็กน้อยของ Economy อีกไม่กี่แถวที่นั่ง (ซึ่งบรรยากาศชั้นบนล่างก็ไม่ต่างกันนั่ง เพียงแต่เก้าอี้โดยสารต่างกันเท่านั้นเอง)

และเพื่อสัมผัสแอร์บัสให้ครบรส ขาไปเรานั่งโซนปกติชั้นล่าง ส่วนขากลับขอขึ้นไปนั่งช่วงท้ายของ Upper deck สักหน่อย
(แถมตอนเดินลงจากเครื่องได้เดินผ่านโซน First Class หรูหรากว้างขวางน่าดู)
ภาพมืดๆมัวๆเล็กน้อยเพราะถ่ายบนไฟล์ทกลางคืน
ที่หน้าจอแก้ววิเศษจะมีเมนูแจ้งรายการอาหารซึ่งขอบอกว่าหน้าตาดีและรสชาติอร่อยอย่าบอกใคร ขอนำภาพมื้อขากลับมาฝากซึ่งคือ ข้าวสวยญี่ปุ่น ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วผักต้ม สลัดปลาแซลม่อน ปิดท้ายด้วยเค้กส้มพร้อมขนมปัง เนยและแยม (ส่วนมื้อขาไปคือข้าวสวยหมูกระเทียม สลัดผัก โยเกิร์ตและขนมปังซึ่งเราหิวหน้ามืดรีบแกะกล่องทานโดยไม่ทันบันทึกภาพ จึงไม่มีรูปสวยๆมาฝาก)

วนกลับมาเรื่อง "เลือกที่นั่งอย่างไรให้เห็นภูเขาไฟฟูจิ" เคล็ดไม่ลับง่ายๆก็คือ ขาไปให้เลือกที่นั่งโซน"ฝั่งซ้าย"และขากลับให้นั่ง"ฝั่งขวา" ซึ่งหากเรานั่งประจำตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วประมาณ 40 นาทีก่อนเครื่องแลนด์(รวมถึงช่วงเครื่องขึ้นจากญี่ปุ่นประมาณ 40นาทีแรก)เมื่อมองออกไปสุดขอบฟ้าจะเห็นภูเขาไฟฟูจิตั้งตระหง่านอยู่

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเหลืออีก 40 นาทีก่อนเครื่องลง ไม่ยากค่ะเพราะบนจอแก้ววิเศษจะมีข้อมูลการเดินทางของเครื่องบินไว้พร้อมเวลาเสร็จสรรพ เมื่อหน้าจอบอกเตือนเราก็รีบหันหน้าจ้องไปทางหน้าต่างเตรียมคว้ากล้องถ่ายภาพ ... สักพักมีเสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นประมาณว่ากำลังบินผ่านภูเขาไฟฟูจิ ด้วยความโชคดีที่น้าสาวของเราฟังภาษาญี่ปุ่นได้ จึงรีบส่งภาษาแปลให้เข้าใจหันไปถ่ายรูปได้ทัน .... สงสัยทำไมไม่ประกาศเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษด้วยล่ะ คงกลัวผู้โดยสารแตกตื่นเป็นไทยมุงไปรุมริมหน้าต่างกระมัง


วินาทีแรกที่เห็นยอดภูเขาไฟอยู่ไกลโพ้นแม้ว่าจะเล็กมากแต่หัวใจเรากลับเต้นแรง นึกฝันตั้งใจมาตลอดว่าทริป4วัน3คืนในครั้งนี้ "ต้องเห็นฟูจิซังให้ได้" ไม่นึกว่าจะได้ยลชมตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน ใจรัวเร็วพอๆกับมือที่กดกล้องถ่ายภาพแบบไม่ยั้ง ... ยังไม่ทันย่ำเท้าบนประเทศญี่ปุ่นก็มีภาพสะสมในกล้องกว่า200ภาพ บ้าไปแล้ว!!!(ภาพที่แช๊ะๆมา ส่วนมากก็เบลอบ้าง ซ้ำบ้างคัดๆเหลือไม่ถึงหลักสิบ)


ใกล้แลนด์ดิ้ง สัญญาณเตือนให้คาดเข็มขัดแสดงขึ้นแต่เราก็ยังคงเดินหน้าถ่ายรูปต่อไปและแล้วก็มาถึง !!!ญี่ปุ่น!!! แดนอาทิตย์อุทัยเมืองปลาดิบถิ่นซามุไรบ้านเกิดของโดเรม่อน  ประเทศที่นาฬิกาเดินเร็วกว่าไทย2ชั่วโมง

ก่อนจะไปเรื่องอื่นอยากเตือนเพื่อนๆว่าก่อนซื้อตั๋วเครื่องบินรวมถึงก่อนเดินทางควรเช็คสภาพอากาศให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้เตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆให้พร้อมรับมือกับสภาพอากาศ ซึ่งการเดินทางไปญี่ปุ่นนั้นเราแนะนำให้เช็คพยากรณ์ที่ http://www.jnto.go.jp/weather/eng/index.php ซึ่งเป็นเว็บไซด์พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นโดยตรงซึ่งจะมีข้อมูลอัปเดตอยู่เสมอ 


เมื่อเข้าหน้าเว็บไวด์ก็กดเลือกภูมิภาคที่เราจะเดินทางไป โดยครานี้เราจะไปพำนักที่โตเกียว ฉะนั้นก็จิ้มที่ Kanto Area เบาๆ (ทั้งเป็นการช่วยเช็คว่าเมืองที่เราต้องการไปเยือนอยู่ในภูมิภาคใดอันจะมีประโยชน์ในการซื้อ JR Pass ซึ่งจะได้กล่าวในลำดับต่อไป)


อย่างที่บอกว่าข้อมูลจะมีการอัปเดตตลอดเพราะช่วงต้นเดือนก่อนเดินทางเราเช็คสภาพอากาศในวันท่องเที่ยว พยากรณ์อากาศแจ้งว่ามีแดดและอากาศจะอยู่ประมาณ 2 องศาแต่เมื่อเข้าใกล้วันเดินทางเรื่อยๆพยากรณ์กลับแจ้งว่าอาจมีหิมะตก ทั้งมีฝนและเมฆกว่า 50%ของพื้นที่ 


ทั้งนี้ยังสามารถเช็คสภาพอากาศแบบเจาะลงในแต่ละท้องที่ได้อีกด้วย ซึ่งสะดวกมากโดยเฉพาะท่านที่จะเดินทางไปชมฟูจิซังควรเลือกวันที่ฟ้าโล่งไม่มีเมฆบัง ... ส่วนตัวเราก็ได้แต่ภาวนาขอให้ฟ้าโปร่งในวันไปเยือนฟูจิซัง (มาตามลุ้นกันว่าทริปนี้เราจะได้เห็นฟูจิซังอย่างที่คิดไว้หรือไม่)

ว่าด้วยเรื่องของ JR Pass และ Suica Card
เจ้าตั๋วสองประเภทนี้มีความสำคัญอย่างไรและทำไมนักท่องเที่ยวจึงควรซื้อติดตัวมาใช้เมื่อเดินทางไปญี่ปุ่น อธิบายง่ายๆ JR Pass เปรียบเสมือนป้ายอาญาสิทธิ์ที่ทำให้เราสามารถเดินเข้าออกทุกสถานีรถไฟที่อยู่ในเครือได้โดยปราศจากของกังขาเพียงแค่โชว์ JR Pass ขึ้นมาพนักงานจะเปิดแผงกั้นให้เราทันที 

ส่วน Suica Card จะทำหน้าที่คล้ายๆ Carrot Card ของไทยคือเป็นบัตรแอนกประสงค์สามารถใช้ได้ทั้งขึ้นรถไฟ ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ กดตู้เครื่องดื่ม จ่ายค่าแท็กซี่แม้กระทั่งจ่ายค่าฝากกระเป๋าเดินทางที่สนามบิน ซึ่งสามารถเติมเงินในบัตรได้ตามร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไป

นอกจากจะอำนวยความสะดวกสบายแล้ว ยังป้องกันปัญหางบบานปลายจากการขึ้นลงรถไฟผิดสถานีอีกด้วย และที่สำคัญ "ช่วยประหยัดเงิน" สุดๆ ส่วนประหยัดอย่างไรนั้นเราต้องมาลงลึกทำความรู้เข้าใจกับเจ้าบัตรพวกนี้ก่อน

JR Pass 
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.j-plan.co.th/index.php?op=jr_rail_pass-detail&id=2 )

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ประเภทใช้ได้ทุกภูมิภาคในประเทศญี่ปุ่น โดยแบ่งเป็นแบบ Ordinary และ Greenระยะเวลาการใช้เริ่มต้นที่ 7 วัน 14 วันและ 21 วัน มีทั้งราคาเด็กและราคาผู้ใหญ่

ขอบคุณภาพจาก J-Plan Holiday
2. ประเภทใช้ตามแต่ละภูมิภาค โดยแบ่งเป็น

    JR EAST PASS สำหรับการเดินทางในเส้นทางตั้งแต่โตเกียวไปจนถึงจังหวัดอาโอโมริ (หรือตั้งแต่สถานีรถไฟ JR TOKYOไปจนถึงสถานีรถไฟ JR SHIN AOMORI 

    JR WEST PASS ใช้สำหรับการเดินทางในภูมิภาคคันไซ ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามการใช้บัตรออกเป็น 2 ประเภทคือ Kansai Area (สามารถใช้ได้ครอบคลุมบริเวณจังหวัดโอซาก้า เกียวโต นารา เฮียวโกะ (โกเบ)) Sanyo Area (สามารถใช้ได้ครอบคลุมบริเวณจังหวัดโอซาก้า เกียวโต นารา เฮียวโกะ (โกเบ) โอคายามะ ฮิโรชิมะและฟุคุโอกะ (จนถึงสถานีฮาคาตะเท่านั้น)

    JR HOKKAIDO PASS ใช้สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟและรถบัสของ JR ภายในพื้นที่เขตจังหวัดฮอกไกโดเท่านั้น

    JR KYUSHU PASS เป็น Regional Passที่ไม่มีจำหน่ายภายในประเทศญี่ปุ่น ใช้สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟและรถบัสของ JR ภายในพื้นที่คิวชู ซึ่งแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท หนึ่ง สำหรับใช้กับพื้นที่ทางตอนเหนือของคิวชู (Northern Kyushu Pass) คือ จังหวัดฟุคุโอกะ จังหวัดซางะ จังหวัดโออิตะ จังหวัดนางาซากิและจังหวัดคุมาโมโต้ และ สอง สำหรับใช้กับทั่วทั้งพื้นที่คิวชู (All Kyushu Pass)

สำหรับระยะเวลาในการใช้บัตรและราคาดูตารางของพาสทั้งสี่ได้ในเว็บไซด์ที่ให้มาด้านบน

    และ JR KANTO PASS เป็น Passใหม่ล่าสุดสำหรับผู้ที่ไม่อยากเดินทางไกลเกินบริเวณโตเกียวและใกล้เคียง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวบริเวณภูเขาไฟฟูจิ เพราะสามารถนั่งรถไฟของ Fuji Kyukoจนไปถึงสถานี Kawakuchigo ซึ่งเป็นรถไฟสายเอกชน (ชนิดอื่นไม่สามารถใช้กับรถไฟเอกชนได้) และรวมไปถึงสาย Tokyo Monorail อันสะดวกสบายสำหรับลูกค้าที่มีไฟลท์ไป-กลับซึ่งต้องเดินทางขึ้นเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ

ขอบคุณข้อมูลจาก J-Plan Holiday
ซึ่งเป็นประเภทที่เราเลือกใช้ในการเดินทางครั้งนี้ค่ะ เพราะหนึ่งที่พักเราตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว(ชินจุกุ) สถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณใกล้กับโตเกียวทั้งสิ้นเช่นภูเขาไฟฟูจิ เมืองนิกโก้และอย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า Pass ชนิดนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟสายเอกชนได้ทั้งยังสามารถใช้บริการ "รถไฟหัวกระสุนชินกันเซ็น"(รางรถไฟสีเขียวตามภาพด้านล่าง)ได้อีกด้วย

นี่คือภาพสถานีที่เราจะต้องเยือนในการเดินทางครั้งนี้
อย่าพึ่งงง เดี๋ยวจะมีการอธิบายการขึ้นลงสถานีและเดินทางไปเที่ยวในแต่ละท้องที่อย่างละเลียด
และนี่คือรูปร่างหน้าตาของ JR Kanto Pass ในมือเราโดยราคาอยู่ที่ 8,300เยน (พึ่งปรับราคาขึ้นจาก 8,000เยนเมื่อไม่นานมานี้) เจ้า Pass นี้มีระยะเวลาการใช้แค่ 3 วันเท่านั้น ถ้าหากเราจำต้องพำนักในญี่ปุ่น 4วัน3คืนเท่ากับว่าต้องมีวันหนึ่งที่ไม่อาจใช้ Pass นี้ได้ฉะนั้นจงวางแผนการใช้ให้ดี ... สำหรับตัวเราเลือกที่จะใช้ในสามวันสุดท้าย ดังนั้นในวันแรกการจะเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียวนั้นจำต้องใช้บริการ N'EX ไปในราคาเต็มเที่ยวละ 1,500เยน (N'EX Train จะได้อธิบายในส่วนต่อไป)


ลองคิดเล่นๆสมมุติเราไม่มีคันโตพาส แค่เดินทางจากสนามบินไปกลับก็ปาเข้าไป 3,000เยนแล้ว(เที่ยวละ 1,500เยน)ไม่นับรวมค่าขึ้นรถไฟเที่ยวในบริเวณเมืองและวันอื่นๆที่ต้องนั่งออกไปนอกเมืองอีก ฉะนั้นจงซื้อ JR Kanto Pass ไปใช้เสียเถิดจะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน


ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปถึงรายละเอียดของรถไฟและสถานีต่างๆ ขอพาเพื่อนๆไปซื้อ Pass กันก่อนซึ่งการซื้อก็จะมีด้วยกันสองวิธีคือ หนึ่ง ซื้อจากเอเยนต์ไทยที่สามารถหาสั่งซื้อได้ตามเว็บไซด์และบริษัททัวร์ต่างๆ ข้อดีคือสะดวกสบาย ส่วนข้อเสียคือต้องซื้อในราคาแพงกว่าปกติ(เป็นเรื่องธรรมดา) หรือ สอง ซื้อที่สนามบินนาริตะ ข้อดีแน่นอนคือได้ราคามาตราฐานแต่ข้อเสียคืออาจไม่สะดวกสบายเหมาะสำหรับผู้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีและผู้ที่สามารถสื่อสารภาษาต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่วเท่านั้น!!!
(ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.tiewyeepoon.com/planning/jr-east/)

พาไปซื้อ JR Pass ที่สนามบินนาริตะ
หลังจากรับกระเป๋าแล้วให้หาทางลงไปชั้น B1F ซึ่งสามารถลงไปโดยบันไดเลื่อนก็ได้ หรือลิฟต์ก็ได้ไม่ซีเรียส ไม่ต้องกังวลค่ะเพราะถ้าหากรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหลงทางให้พยายามเดินตามป้ายรูปรถไฟ                                                         
เมื่อลงมาถึงชั้นล่างให้มองหาศูนย์บริการหน้าตาแบบนี้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับสตาร์บัค
เดินเข้าไปด้วยความมั่นใจที่เคาน์เตอร์แรกจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาแก่เราว่าควรซื้อตั๋วแบบไหนชนิดใดเมื่อคุยกันลงตัวแล้ว เจ้าหน้าที่จะออกใบสั่งเล็กๆเพื่อให้เราไปติดต่อซื้อตั๋วอีกที และที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วเราสามารถถามและขอตารางรถรูปแบบต่างๆได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่(ที่เจอ)น่ารักมาก อัธยาศัยดี ค่อยๆพูดค่อยๆอธิบายแถมช่วยเราจองตั๋ววางแผนการเดินทางในวันถัดไปอีกด้วย ... แต่อย่างไรก็ดีควรศึกษาข้อมูลไปให้เพียงพอก่อน ไม่ควรเสียเวลาที่เคาน์เตอร์มากนัก เกรงใจนักท่องเที่ยวที่เข้าแถวยาวเป็นพรวนด้านหลังด้วยนะคะ

ขึ้นรถไฟ N'EX เข้าโตเกียว
การเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าสู่กรุงโตเกียวก็จะมีอยู่หลายวิธีด้วยกันด้วยกันไม่ว่านั่ง Limousine Bus (ไม่รวมใน Pass) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรอีกด้วย ใชบริการ Keisei Skyline ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายใหม่หรือจะนั่งรถไฟ N'EX หรือ Narita Express ก็ได้

โดยปกติแล้วเมื่อซื้อ JR Kanto Pass สามารถใช้ขึ้น N'EX ได้ฟรี(รวมถึงKeisei Skylineอีกด้วย) แต่เนื่องจากเราเก็บPassไว้ใช้ในสามวันหลัง ฉะนั้นวันแรกจึงต้องซื้อตั๋วในราคาเต็มไปก่อนเพียง 1,500 เยนเท่านั้น สามารถซื้อได้ที่ศูนย์ตามภาพด้านบนเช่นกัน


การเดินทางไปที่ชานชาลา N'EX ก็ไม่ยากขอเพียงแต่ตามป้ายรถไฟที่มุ่งหน้าเข้าโตเกียวไปเรื่อยๆลงไปสู่ชั้นล่างและให้สังเกตบนตั๋วรถให้ดีว่าต้องขึ้นจาก Track(ชานชาลา) 1 หรือ 2 กันแน่เพราะถ้าหากไปผิดชานชาลาอาจลงเอยขึ้นรถไฟผิดขบวนได้


เมื่อลองดูตารางเดินรถไฟของ N'EX แล้วต้องคำนวณต่อว่าที่พักของเราอยู่บริเวณที่รถจอดหรือไม่? (โฟกัสที่สายสีแดง) ถ้าไม่ เช่นนั้นการจะเดินทางไปที่พักต้องลงที่สถานีไหน?แล้วต้องเปลี่ยนเป็นแท็กซี่?หรือเปลี่ยนสายรถไฟใหม่อย่างไร? ... ในกรณีของเรา เราพักอยู่โรงแรมใกล้สถานี Shin-Okubo ซึ่งเป็นสถานีเล็กๆที่ตั้งอยู่ระหว่าง Shinjuku และ Ikebukuro เป็นสถานีที่ N'EX ไม่จอด เราจึงตัดสินใจลงที่ชินจุกุแล้วจับแท็กซี่ต่อไปโรงแรม



ความจริงแล้วสามารถลงที่สถานีชินจุกุ แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamanote Line (ข้อมูลคลิ๊ก) เพื่อต่อไปยังสถานี Shin-Okuboได้ แต่เนื่องจากเดินทางมาถึงวันแรกสัมภาระค่อนข้างเยอะและเหนื่อยล้าจึงตัดสินใจลงที่สถานีใหญ่แล้วต่อแท็กซี่ไปถึงหน้าประตูโรงแรมเลยดีกว่า ไม่ต้องลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วิ่งขึ้นลงรถไฟให้ปวดหัว ถ้าหากยังนึกไม่ออกก็ลองค้นตารางรถไฟได้ที่ hyperdia (สอนใช้hyperdiaคร่าวๆ)


พูดถึงแท็กซี่ญี่ปุ่น
กรุณาลืมภาพของแท็กซี่ไทยๆให้หมดสิ้น บริเวณเทียบท่าจะมีแท็กซี่สะอาดเงาวับมากมายจอดเรียงต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ คนขับรถแท็กซี่จะแต่งกายด้วยชุดสูทซึ่งเราคาดว่าสีเสื้อสูทคงต่างกันไปตามบริษัทหรือสายที่ให้บริการ (ขาไปพบชายสูทดำ ขากลับพบชายสูทเขียว) 

ภาพจากแท็กซี่ วิวแรกบนภาคพื้นของญี่ปุ่น
เบาะรถจะหุ้มด้วยผ้าลูกไม้สีขาวสะอาดทุกคัน!! แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจบริการและการรักษาความสะอาดอยู่เสมอ โดยมักจะมีแผ่นพลาสติกใสกั้นระหว่างคนขับกับที่นั่งเบาะหลังอีกด้วยการันตีความปลอดภัยของผู้โดยสารว่าจะไม่มีเหตุการณ์คนขับหันหลังจ่อมีดจี้ผู้โดยสารอย่างแน่นอน ปล.ประตูรถส่วนใหญ่เป็นระบบอัตโนมัติ เมื่อถึงที่หมายคนขับจะกดปุ่มเปิดประตูรถให้ผู้โดยสาร ไม่จำต้องลำบากเอื้อมมือเปิดปิดอีกด้วย

หลังจากเดินออกจากสถานีโตเกียวก็เดินต่อไปยังจุดขึ้นรถแท็กซี่ พบกับคุณลุงคนขับหน้าตาท่าทางใจดี หลังจากเซย์เฮลโลคุณลุงก็กุลีกุจอมารับกระเป๋าใส่กระโปรงท้ายรถ เชิญทัวริสจากไทยแลนด์ขึ้นรถและคุณลุงก็เริ่มต้นบทสนทนาสอบถามว่าเรามาจากประเทศไหน? มาทำอะไร? อยู่กี่วัน? พรุ่งนี้จะไปไหน? 

เมื่อลุงรู้ว่าผู้โดยสารแปลกหน้าอย่างเรามาจากประเทศไทย ลุงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า Oh, I love Thailand คุณลุงบอกอยากไปเที่ยวประเทศไทยมาก รู้มาว่าอากาศที่ไทยอุ่นสบายไม่หนาวแถมคุณลุงยังย้ำด้วยว่า I love Thai people (เพราะแกมักจะเจอผู้โดยสารชาวไทยอยู่เสมอ)

คุณลุงบอกว่าคือ Camel แต่มองไปมาคล้ายนกกระจอกเทศชอบกล
ว่าแล้วคุณลุงก็หยิบกระดาษพับรูปสัตว์ต่างๆขึ้นมาแล้วส่งให้บอกว่าเป็น ของฝากจากเจแปน แกบอกว่าตัวเองเป็นคุณครูสอนศิลปะพับกระดาษหรือโอริกามิ และมักจะพับโอริกามิเป็นงานอดิเรก ... ในแท็กซี่ของคุณลุงมีกระดาษพับรูปสัตว์น้อยใหญ่ต่างๆมากมาย (เราได้รูปอูฐน่ารักมาก) เมื่อมาถึงจุดหมายมิตเตอร์แจ้งราคาประมาณ 900กว่าเยนด้วยความประทับใจจึงยื่นแบงค์ 1000เยนให้คุณลุงและบอกไม่ต้องทอน ... นึกเสียดายตอนนั้นเราน่าจะมีอะไรไทยๆติดกระเป๋าไปสักหน่อยจะได้ให้ที่ระลึกตอบแทนคุณลุงบ้าง
                                                                                                                                                              
ใครยังไม่อ่าน  !!เชยมาก!!

ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว คลิ๊กจร้า
Suica Card และ Korean Town ในย่านชินโอคุโบ คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (1) คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (2) คลิ๊กจร้า
ชมวิวทะเลสาบ Kawaguchiko และตามหาร้านอร่อย คลิ๊กจร้า
บุฟเฟต์ขาปูยักษ์ ณ Tokyo Station Buffet คลิ๊กจร้า