เที่ยวญี่ปุ่นไม่ง่ายอย่างที่คิด (ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว)

นักเขียนป้ายแดง by Jickamint (เนื้อหาทั้งหมดเขียนและเรียบเรียงเองทั้งสิ้น)

คิดว่าทุกคนที่ฝันอยากไปเที่ยวญี่ปุ่นมักจะมีคำถามว่า ไปกับทัวร์หรือเที่ยวเองดี?และคำถามต่อมาคือ ไปเที่ยวเองยากมั้ย? แต่เนื่องจากไม่รู้จะเริ่มหาข้อมูลตรงไหน ลำพังเพียงอ่านบล๊อกหรือกระทู้ท่องเที่ยวของผู้รู้ก็ไม่ละเอียดเพียงพอโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ย่อมงงเป็นไก่ตาแตกเป็นธรรมดา สุดท้ายก็ลงเอยด้วยการใช้บริการทัวร์และอาจกลับไทยมาด้วยความผิดหวัง
รูปภาพในบล๊อกนี้ทั้งหมดถ่ายโดยผู้เขียนทั้งสิ้น กรุณาอย่านำไปแอบอ้างหรือใช้เพื่อประการใดๆ
เราก็เป็นคนหนึ่งที่คิดกลับไปมาหลายตลบว่าจะไปกับทัวร์หรือไปเที่ยวเอง ทั้งนี้เพราะเหตุที่มักจะเห็นบทความรวมถึงหนังสือต่างๆมากมายใจความว่า "เที่ยวญี่ปุ่นเองไม่ยาก" จึงเลือกที่จะเดินทางเอง... ถามว่าการแบ็คแพ็คเที่ยวญี่ปุ่นยากหรือไม่? เราขอตอบว่าไม่ง่ายอย่างที่สื่อส่วนใหญ่ทำให้เราเข้าใจ แต่!!ก็ไม่ยากเกินความสามารถ ฉะนั้นสำหรับท่านใดที่หวังไม่ง้อทัวร์ละก็ท่านต้องทำการบ้านให้สุดความสามารถเพราะการเที่ยวญี่ปุ่น "ไม่ง่ายอย่างที่คิด"


ว่าด้วยเรื่องของเครื่องบิน >> ตั๋ว JR PASS และ Suica Card >> 
รถไฟ N'EX >> แท็กซี่ญี่ปุ่น >> Korean Town

ตั๋วเครื่องบินเดินทางไปประเทศญี่ปุ่นนั้นมีราคามากน้อยต่างกันไปตามช่วงเดือนว่าเลือกเดินทางกับสายบินใด คลาสไหน? เป็นช่วงHi-seasonหรือไม่? เช่นช่วงฤดูหนาวอาจจะอยู่ที่ประมาณ 21,000บาทแต่ช่วงเดือนเมษายนฤดูชมซากุระราคาอาจขึ้นสูงถึง 24,000-25,000บาทเลยทีเดียว ซึ่งทริปแบกเป้จะสนนราคารวมมากน้อยเท่าใดอยู่ที่ราคาตั๋วเครื่องบินเป็นสำคัญ

ยกตัวอย่าง เพื่อนเราคนหนึ่งตั้งใจเดินทางไปเที่ยวญี่ปุ่นมากจึงทำการจองตั๋วของสายการบิน"ข้ามปี" ราคาอยู่แค่หลักพันเท่านั้น(ไป-กลับ) แต่ราคาอันแสนถูกย่อมมาพร้อมกับที่นั่งเล็กจิ๋ว ไร้สิ่งอำนวยความสะดวกอึดอัดเบียดเสียดบนอากาศเป็นเวลา6ชั่วโมงเต็ม ... แต่ทั้งนี้ก็ตามแต่เพื่อนๆจะวางแผนเรื่องค่าใช้จ่ายและเดินทางอย่างไร ส่วนเราแบกเป้ครานี้ขอใช้บริการเครื่องบินแอร์บัส A380 ของการบินไทย


พาไปรู้จักแอร์บัส A380 และวิธี "นั่งอย่างไรให้เห็นภูเขาไฟฟูจิ"
แอร์บัส A380 นี้เองคือเจ้าของประโยค "Thai's newest and largest aircraft" หรือเครื่องบินพาณิชย์ที่ใหม่ที่สุดและใหญ่ที่สุดของไทย เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในเครื่องบินที่มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยเป็นลำดับต้นๆของโลก ซึ่งเครื่องที่ใช้เป็นรุ่น A380-800 มีทั้งหมด 507 ที่นั่ง แบ่งเป็น Royal First 12 ที่นั่ง, Royal Silk Business 60 ที่นั่ง และ Economy 435 ที่นั่ง (ขอบคุณข้อมูลจากเที่ยวญี่ปุ่น ดอทคอม)

เนื่องจากมีการแบ่งชนชั้นวรรณะบนเครื่องอย่างชัดเจน แต่ผู้ที่โดยสารชั้น Economy อย่าพึ่งน้อยใจเพราะในโซน"ชั้นประหยัดราคาสองหมื่นนี้"ก็มีเครื่องอำนวยความสะดวกมากมายไม่แพ้โซนหรูหรา


จะต่างกันก็แค่ในโซน First class ที่นั่งจะกว้างขว้างกว่า จอทีวีใหญ่กว่า นั่งนุ่มสะดวกสบายมีที่ให้ยึดแข้งขามากกว่า แต่ต้องขอยืนยันว่าที่นั่งในโซน Economy ก็ค่อนข้างนั่งสบายใช่ย่อย ส่วนหน้าจอด้านหน้าคือระบบความบันเทิงส่วนตัวมีทั้ง ทีวี เกมส์ เพลงและภาพยนตร์ให้เลือกชมเลือกเสพกันอย่างจุใจ แถมยังมีกล้องถ่ายทอดสดความเป็นไปจากกล้องบริเวณห้องนักบินอีกด้วย


แถมที่เก็บของเหนือศีรษะก็กว้างขวางฉะนั้นไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่จัดเก็บคิทแคทหลากรสที่ตั้งใจจะแบกกลับไทย ... ลืมบอกไปค่ะว่าเจ้าแอร์บัส A380 ลำนี้มีสองชั้น!!! โดยบริเวณชั้นล่างจะเป็นที่นั่ง Economy ทั้งหมดส่วนชั้นบนหรือ Upper deck จะเป็นส่วนของ Royal First และ Royal Silk และติ่งเล็กน้อยของ Economy อีกไม่กี่แถวที่นั่ง (ซึ่งบรรยากาศชั้นบนล่างก็ไม่ต่างกันนั่ง เพียงแต่เก้าอี้โดยสารต่างกันเท่านั้นเอง)

และเพื่อสัมผัสแอร์บัสให้ครบรส ขาไปเรานั่งโซนปกติชั้นล่าง ส่วนขากลับขอขึ้นไปนั่งช่วงท้ายของ Upper deck สักหน่อย
(แถมตอนเดินลงจากเครื่องได้เดินผ่านโซน First Class หรูหรากว้างขวางน่าดู)
ภาพมืดๆมัวๆเล็กน้อยเพราะถ่ายบนไฟล์ทกลางคืน
ที่หน้าจอแก้ววิเศษจะมีเมนูแจ้งรายการอาหารซึ่งขอบอกว่าหน้าตาดีและรสชาติอร่อยอย่าบอกใคร ขอนำภาพมื้อขากลับมาฝากซึ่งคือ ข้าวสวยญี่ปุ่น ปลาหิมะนึ่งซีอิ๊วผักต้ม สลัดปลาแซลม่อน ปิดท้ายด้วยเค้กส้มพร้อมขนมปัง เนยและแยม (ส่วนมื้อขาไปคือข้าวสวยหมูกระเทียม สลัดผัก โยเกิร์ตและขนมปังซึ่งเราหิวหน้ามืดรีบแกะกล่องทานโดยไม่ทันบันทึกภาพ จึงไม่มีรูปสวยๆมาฝาก)

วนกลับมาเรื่อง "เลือกที่นั่งอย่างไรให้เห็นภูเขาไฟฟูจิ" เคล็ดไม่ลับง่ายๆก็คือ ขาไปให้เลือกที่นั่งโซน"ฝั่งซ้าย"และขากลับให้นั่ง"ฝั่งขวา" ซึ่งหากเรานั่งประจำตำแหน่งที่ถูกต้องแล้วประมาณ 40 นาทีก่อนเครื่องแลนด์(รวมถึงช่วงเครื่องขึ้นจากญี่ปุ่นประมาณ 40นาทีแรก)เมื่อมองออกไปสุดขอบฟ้าจะเห็นภูเขาไฟฟูจิตั้งตระหง่านอยู่

แล้วจะรู้ได้ไงว่าเหลืออีก 40 นาทีก่อนเครื่องลง ไม่ยากค่ะเพราะบนจอแก้ววิเศษจะมีข้อมูลการเดินทางของเครื่องบินไว้พร้อมเวลาเสร็จสรรพ เมื่อหน้าจอบอกเตือนเราก็รีบหันหน้าจ้องไปทางหน้าต่างเตรียมคว้ากล้องถ่ายภาพ ... สักพักมีเสียงประกาศเป็นภาษาญี่ปุ่นประมาณว่ากำลังบินผ่านภูเขาไฟฟูจิ ด้วยความโชคดีที่น้าสาวของเราฟังภาษาญี่ปุ่นได้ จึงรีบส่งภาษาแปลให้เข้าใจหันไปถ่ายรูปได้ทัน .... สงสัยทำไมไม่ประกาศเป็นภาษาไทยหรืออังกฤษด้วยล่ะ คงกลัวผู้โดยสารแตกตื่นเป็นไทยมุงไปรุมริมหน้าต่างกระมัง


วินาทีแรกที่เห็นยอดภูเขาไฟอยู่ไกลโพ้นแม้ว่าจะเล็กมากแต่หัวใจเรากลับเต้นแรง นึกฝันตั้งใจมาตลอดว่าทริป4วัน3คืนในครั้งนี้ "ต้องเห็นฟูจิซังให้ได้" ไม่นึกว่าจะได้ยลชมตั้งแต่อยู่บนเครื่องบิน ใจรัวเร็วพอๆกับมือที่กดกล้องถ่ายภาพแบบไม่ยั้ง ... ยังไม่ทันย่ำเท้าบนประเทศญี่ปุ่นก็มีภาพสะสมในกล้องกว่า200ภาพ บ้าไปแล้ว!!!(ภาพที่แช๊ะๆมา ส่วนมากก็เบลอบ้าง ซ้ำบ้างคัดๆเหลือไม่ถึงหลักสิบ)


ใกล้แลนด์ดิ้ง สัญญาณเตือนให้คาดเข็มขัดแสดงขึ้นแต่เราก็ยังคงเดินหน้าถ่ายรูปต่อไปและแล้วก็มาถึง !!!ญี่ปุ่น!!! แดนอาทิตย์อุทัยเมืองปลาดิบถิ่นซามุไรบ้านเกิดของโดเรม่อน  ประเทศที่นาฬิกาเดินเร็วกว่าไทย2ชั่วโมง

ก่อนจะไปเรื่องอื่นอยากเตือนเพื่อนๆว่าก่อนซื้อตั๋วเครื่องบินรวมถึงก่อนเดินทางควรเช็คสภาพอากาศให้เรียบร้อยเพื่อที่จะได้เตรียมเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่างๆให้พร้อมรับมือกับสภาพอากาศ ซึ่งการเดินทางไปญี่ปุ่นนั้นเราแนะนำให้เช็คพยากรณ์ที่ http://www.jnto.go.jp/weather/eng/index.php ซึ่งเป็นเว็บไซด์พยากรณ์อากาศของญี่ปุ่นโดยตรงซึ่งจะมีข้อมูลอัปเดตอยู่เสมอ 


เมื่อเข้าหน้าเว็บไวด์ก็กดเลือกภูมิภาคที่เราจะเดินทางไป โดยครานี้เราจะไปพำนักที่โตเกียว ฉะนั้นก็จิ้มที่ Kanto Area เบาๆ (ทั้งเป็นการช่วยเช็คว่าเมืองที่เราต้องการไปเยือนอยู่ในภูมิภาคใดอันจะมีประโยชน์ในการซื้อ JR Pass ซึ่งจะได้กล่าวในลำดับต่อไป)


อย่างที่บอกว่าข้อมูลจะมีการอัปเดตตลอดเพราะช่วงต้นเดือนก่อนเดินทางเราเช็คสภาพอากาศในวันท่องเที่ยว พยากรณ์อากาศแจ้งว่ามีแดดและอากาศจะอยู่ประมาณ 2 องศาแต่เมื่อเข้าใกล้วันเดินทางเรื่อยๆพยากรณ์กลับแจ้งว่าอาจมีหิมะตก ทั้งมีฝนและเมฆกว่า 50%ของพื้นที่ 


ทั้งนี้ยังสามารถเช็คสภาพอากาศแบบเจาะลงในแต่ละท้องที่ได้อีกด้วย ซึ่งสะดวกมากโดยเฉพาะท่านที่จะเดินทางไปชมฟูจิซังควรเลือกวันที่ฟ้าโล่งไม่มีเมฆบัง ... ส่วนตัวเราก็ได้แต่ภาวนาขอให้ฟ้าโปร่งในวันไปเยือนฟูจิซัง (มาตามลุ้นกันว่าทริปนี้เราจะได้เห็นฟูจิซังอย่างที่คิดไว้หรือไม่)

ว่าด้วยเรื่องของ JR Pass และ Suica Card
เจ้าตั๋วสองประเภทนี้มีความสำคัญอย่างไรและทำไมนักท่องเที่ยวจึงควรซื้อติดตัวมาใช้เมื่อเดินทางไปญี่ปุ่น อธิบายง่ายๆ JR Pass เปรียบเสมือนป้ายอาญาสิทธิ์ที่ทำให้เราสามารถเดินเข้าออกทุกสถานีรถไฟที่อยู่ในเครือได้โดยปราศจากของกังขาเพียงแค่โชว์ JR Pass ขึ้นมาพนักงานจะเปิดแผงกั้นให้เราทันที 

ส่วน Suica Card จะทำหน้าที่คล้ายๆ Carrot Card ของไทยคือเป็นบัตรแอนกประสงค์สามารถใช้ได้ทั้งขึ้นรถไฟ ซื้อของในร้านสะดวกซื้อ กดตู้เครื่องดื่ม จ่ายค่าแท็กซี่แม้กระทั่งจ่ายค่าฝากกระเป๋าเดินทางที่สนามบิน ซึ่งสามารถเติมเงินในบัตรได้ตามร้านค้าสะดวกซื้อทั่วไป

นอกจากจะอำนวยความสะดวกสบายแล้ว ยังป้องกันปัญหางบบานปลายจากการขึ้นลงรถไฟผิดสถานีอีกด้วย และที่สำคัญ "ช่วยประหยัดเงิน" สุดๆ ส่วนประหยัดอย่างไรนั้นเราต้องมาลงลึกทำความรู้เข้าใจกับเจ้าบัตรพวกนี้ก่อน

JR Pass 
(ขอบคุณข้อมูลจาก http://www.j-plan.co.th/index.php?op=jr_rail_pass-detail&id=2 )

แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
1. ประเภทใช้ได้ทุกภูมิภาคในประเทศญี่ปุ่น โดยแบ่งเป็นแบบ Ordinary และ Greenระยะเวลาการใช้เริ่มต้นที่ 7 วัน 14 วันและ 21 วัน มีทั้งราคาเด็กและราคาผู้ใหญ่

ขอบคุณภาพจาก J-Plan Holiday
2. ประเภทใช้ตามแต่ละภูมิภาค โดยแบ่งเป็น

    JR EAST PASS สำหรับการเดินทางในเส้นทางตั้งแต่โตเกียวไปจนถึงจังหวัดอาโอโมริ (หรือตั้งแต่สถานีรถไฟ JR TOKYOไปจนถึงสถานีรถไฟ JR SHIN AOMORI 

    JR WEST PASS ใช้สำหรับการเดินทางในภูมิภาคคันไซ ซึ่งแบ่งพื้นที่ตามการใช้บัตรออกเป็น 2 ประเภทคือ Kansai Area (สามารถใช้ได้ครอบคลุมบริเวณจังหวัดโอซาก้า เกียวโต นารา เฮียวโกะ (โกเบ)) Sanyo Area (สามารถใช้ได้ครอบคลุมบริเวณจังหวัดโอซาก้า เกียวโต นารา เฮียวโกะ (โกเบ) โอคายามะ ฮิโรชิมะและฟุคุโอกะ (จนถึงสถานีฮาคาตะเท่านั้น)

    JR HOKKAIDO PASS ใช้สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟและรถบัสของ JR ภายในพื้นที่เขตจังหวัดฮอกไกโดเท่านั้น

    JR KYUSHU PASS เป็น Regional Passที่ไม่มีจำหน่ายภายในประเทศญี่ปุ่น ใช้สำหรับการเดินทางด้วยรถไฟและรถบัสของ JR ภายในพื้นที่คิวชู ซึ่งแบ่งย่อยได้อีก 2 ประเภท หนึ่ง สำหรับใช้กับพื้นที่ทางตอนเหนือของคิวชู (Northern Kyushu Pass) คือ จังหวัดฟุคุโอกะ จังหวัดซางะ จังหวัดโออิตะ จังหวัดนางาซากิและจังหวัดคุมาโมโต้ และ สอง สำหรับใช้กับทั่วทั้งพื้นที่คิวชู (All Kyushu Pass)

สำหรับระยะเวลาในการใช้บัตรและราคาดูตารางของพาสทั้งสี่ได้ในเว็บไซด์ที่ให้มาด้านบน

    และ JR KANTO PASS เป็น Passใหม่ล่าสุดสำหรับผู้ที่ไม่อยากเดินทางไกลเกินบริเวณโตเกียวและใกล้เคียง นอกจากนี้ยังเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการไปเที่ยวบริเวณภูเขาไฟฟูจิ เพราะสามารถนั่งรถไฟของ Fuji Kyukoจนไปถึงสถานี Kawakuchigo ซึ่งเป็นรถไฟสายเอกชน (ชนิดอื่นไม่สามารถใช้กับรถไฟเอกชนได้) และรวมไปถึงสาย Tokyo Monorail อันสะดวกสบายสำหรับลูกค้าที่มีไฟลท์ไป-กลับซึ่งต้องเดินทางขึ้นเครื่องที่สนามบินฮาเนดะ

ขอบคุณข้อมูลจาก J-Plan Holiday
ซึ่งเป็นประเภทที่เราเลือกใช้ในการเดินทางครั้งนี้ค่ะ เพราะหนึ่งที่พักเราตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว(ชินจุกุ) สถานที่ท่องเที่ยวอยู่ในบริเวณใกล้กับโตเกียวทั้งสิ้นเช่นภูเขาไฟฟูจิ เมืองนิกโก้และอย่างที่กล่าวมาข้างต้นว่า Pass ชนิดนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟสายเอกชนได้ทั้งยังสามารถใช้บริการ "รถไฟหัวกระสุนชินกันเซ็น"(รางรถไฟสีเขียวตามภาพด้านล่าง)ได้อีกด้วย

นี่คือภาพสถานีที่เราจะต้องเยือนในการเดินทางครั้งนี้
อย่าพึ่งงง เดี๋ยวจะมีการอธิบายการขึ้นลงสถานีและเดินทางไปเที่ยวในแต่ละท้องที่อย่างละเลียด
และนี่คือรูปร่างหน้าตาของ JR Kanto Pass ในมือเราโดยราคาอยู่ที่ 8,300เยน (พึ่งปรับราคาขึ้นจาก 8,000เยนเมื่อไม่นานมานี้) เจ้า Pass นี้มีระยะเวลาการใช้แค่ 3 วันเท่านั้น ถ้าหากเราจำต้องพำนักในญี่ปุ่น 4วัน3คืนเท่ากับว่าต้องมีวันหนึ่งที่ไม่อาจใช้ Pass นี้ได้ฉะนั้นจงวางแผนการใช้ให้ดี ... สำหรับตัวเราเลือกที่จะใช้ในสามวันสุดท้าย ดังนั้นในวันแรกการจะเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าโตเกียวนั้นจำต้องใช้บริการ N'EX ไปในราคาเต็มเที่ยวละ 1,500เยน (N'EX Train จะได้อธิบายในส่วนต่อไป)


ลองคิดเล่นๆสมมุติเราไม่มีคันโตพาส แค่เดินทางจากสนามบินไปกลับก็ปาเข้าไป 3,000เยนแล้ว(เที่ยวละ 1,500เยน)ไม่นับรวมค่าขึ้นรถไฟเที่ยวในบริเวณเมืองและวันอื่นๆที่ต้องนั่งออกไปนอกเมืองอีก ฉะนั้นจงซื้อ JR Kanto Pass ไปใช้เสียเถิดจะได้ไม่เป็นภาระของลูกหลาน


ก่อนที่เราจะเจาะลึกลงไปถึงรายละเอียดของรถไฟและสถานีต่างๆ ขอพาเพื่อนๆไปซื้อ Pass กันก่อนซึ่งการซื้อก็จะมีด้วยกันสองวิธีคือ หนึ่ง ซื้อจากเอเยนต์ไทยที่สามารถหาสั่งซื้อได้ตามเว็บไซด์และบริษัททัวร์ต่างๆ ข้อดีคือสะดวกสบาย ส่วนข้อเสียคือต้องซื้อในราคาแพงกว่าปกติ(เป็นเรื่องธรรมดา) หรือ สอง ซื้อที่สนามบินนาริตะ ข้อดีแน่นอนคือได้ราคามาตราฐานแต่ข้อเสียคืออาจไม่สะดวกสบายเหมาะสำหรับผู้ทำการบ้านมาเป็นอย่างดีและผู้ที่สามารถสื่อสารภาษาต่างชาติได้อย่างคล่องแคล่วเท่านั้น!!!
(ข้อมูลเพิ่มเติม http://www.tiewyeepoon.com/planning/jr-east/)

พาไปซื้อ JR Pass ที่สนามบินนาริตะ
หลังจากรับกระเป๋าแล้วให้หาทางลงไปชั้น B1F ซึ่งสามารถลงไปโดยบันไดเลื่อนก็ได้ หรือลิฟต์ก็ได้ไม่ซีเรียส ไม่ต้องกังวลค่ะเพราะถ้าหากรู้สึกว่าตัวเองเริ่มหลงทางให้พยายามเดินตามป้ายรูปรถไฟ                                                         
เมื่อลงมาถึงชั้นล่างให้มองหาศูนย์บริการหน้าตาแบบนี้ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆกับสตาร์บัค
เดินเข้าไปด้วยความมั่นใจที่เคาน์เตอร์แรกจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาแก่เราว่าควรซื้อตั๋วแบบไหนชนิดใดเมื่อคุยกันลงตัวแล้ว เจ้าหน้าที่จะออกใบสั่งเล็กๆเพื่อให้เราไปติดต่อซื้อตั๋วอีกที และที่เคาน์เตอร์ซื้อตั๋วเราสามารถถามและขอตารางรถรูปแบบต่างๆได้ ซึ่งเจ้าหน้าที่(ที่เจอ)น่ารักมาก อัธยาศัยดี ค่อยๆพูดค่อยๆอธิบายแถมช่วยเราจองตั๋ววางแผนการเดินทางในวันถัดไปอีกด้วย ... แต่อย่างไรก็ดีควรศึกษาข้อมูลไปให้เพียงพอก่อน ไม่ควรเสียเวลาที่เคาน์เตอร์มากนัก เกรงใจนักท่องเที่ยวที่เข้าแถวยาวเป็นพรวนด้านหลังด้วยนะคะ

ขึ้นรถไฟ N'EX เข้าโตเกียว
การเดินทางจากสนามบินนาริตะเข้าสู่กรุงโตเกียวก็จะมีอยู่หลายวิธีด้วยกันด้วยกันไม่ว่านั่ง Limousine Bus (ไม่รวมใน Pass) ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพการจราจรอีกด้วย ใชบริการ Keisei Skyline ซึ่งเป็นรถไฟฟ้าความเร็วสูงสายใหม่หรือจะนั่งรถไฟ N'EX หรือ Narita Express ก็ได้

โดยปกติแล้วเมื่อซื้อ JR Kanto Pass สามารถใช้ขึ้น N'EX ได้ฟรี(รวมถึงKeisei Skylineอีกด้วย) แต่เนื่องจากเราเก็บPassไว้ใช้ในสามวันหลัง ฉะนั้นวันแรกจึงต้องซื้อตั๋วในราคาเต็มไปก่อนเพียง 1,500 เยนเท่านั้น สามารถซื้อได้ที่ศูนย์ตามภาพด้านบนเช่นกัน


การเดินทางไปที่ชานชาลา N'EX ก็ไม่ยากขอเพียงแต่ตามป้ายรถไฟที่มุ่งหน้าเข้าโตเกียวไปเรื่อยๆลงไปสู่ชั้นล่างและให้สังเกตบนตั๋วรถให้ดีว่าต้องขึ้นจาก Track(ชานชาลา) 1 หรือ 2 กันแน่เพราะถ้าหากไปผิดชานชาลาอาจลงเอยขึ้นรถไฟผิดขบวนได้


เมื่อลองดูตารางเดินรถไฟของ N'EX แล้วต้องคำนวณต่อว่าที่พักของเราอยู่บริเวณที่รถจอดหรือไม่? (โฟกัสที่สายสีแดง) ถ้าไม่ เช่นนั้นการจะเดินทางไปที่พักต้องลงที่สถานีไหน?แล้วต้องเปลี่ยนเป็นแท็กซี่?หรือเปลี่ยนสายรถไฟใหม่อย่างไร? ... ในกรณีของเรา เราพักอยู่โรงแรมใกล้สถานี Shin-Okubo ซึ่งเป็นสถานีเล็กๆที่ตั้งอยู่ระหว่าง Shinjuku และ Ikebukuro เป็นสถานีที่ N'EX ไม่จอด เราจึงตัดสินใจลงที่ชินจุกุแล้วจับแท็กซี่ต่อไปโรงแรม



ความจริงแล้วสามารถลงที่สถานีชินจุกุ แล้วเปลี่ยนไปขึ้นรถไฟสาย Yamanote Line (ข้อมูลคลิ๊ก) เพื่อต่อไปยังสถานี Shin-Okuboได้ แต่เนื่องจากเดินทางมาถึงวันแรกสัมภาระค่อนข้างเยอะและเหนื่อยล้าจึงตัดสินใจลงที่สถานีใหญ่แล้วต่อแท็กซี่ไปถึงหน้าประตูโรงแรมเลยดีกว่า ไม่ต้องลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่วิ่งขึ้นลงรถไฟให้ปวดหัว ถ้าหากยังนึกไม่ออกก็ลองค้นตารางรถไฟได้ที่ hyperdia (สอนใช้hyperdiaคร่าวๆ)


พูดถึงแท็กซี่ญี่ปุ่น
กรุณาลืมภาพของแท็กซี่ไทยๆให้หมดสิ้น บริเวณเทียบท่าจะมีแท็กซี่สะอาดเงาวับมากมายจอดเรียงต่อแถวอย่างเป็นระเบียบ คนขับรถแท็กซี่จะแต่งกายด้วยชุดสูทซึ่งเราคาดว่าสีเสื้อสูทคงต่างกันไปตามบริษัทหรือสายที่ให้บริการ (ขาไปพบชายสูทดำ ขากลับพบชายสูทเขียว) 

ภาพจากแท็กซี่ วิวแรกบนภาคพื้นของญี่ปุ่น
เบาะรถจะหุ้มด้วยผ้าลูกไม้สีขาวสะอาดทุกคัน!! แสดงให้เห็นถึงความตั้งใจบริการและการรักษาความสะอาดอยู่เสมอ โดยมักจะมีแผ่นพลาสติกใสกั้นระหว่างคนขับกับที่นั่งเบาะหลังอีกด้วยการันตีความปลอดภัยของผู้โดยสารว่าจะไม่มีเหตุการณ์คนขับหันหลังจ่อมีดจี้ผู้โดยสารอย่างแน่นอน ปล.ประตูรถส่วนใหญ่เป็นระบบอัตโนมัติ เมื่อถึงที่หมายคนขับจะกดปุ่มเปิดประตูรถให้ผู้โดยสาร ไม่จำต้องลำบากเอื้อมมือเปิดปิดอีกด้วย

หลังจากเดินออกจากสถานีโตเกียวก็เดินต่อไปยังจุดขึ้นรถแท็กซี่ พบกับคุณลุงคนขับหน้าตาท่าทางใจดี หลังจากเซย์เฮลโลคุณลุงก็กุลีกุจอมารับกระเป๋าใส่กระโปรงท้ายรถ เชิญทัวริสจากไทยแลนด์ขึ้นรถและคุณลุงก็เริ่มต้นบทสนทนาสอบถามว่าเรามาจากประเทศไหน? มาทำอะไร? อยู่กี่วัน? พรุ่งนี้จะไปไหน? 

เมื่อลุงรู้ว่าผู้โดยสารแปลกหน้าอย่างเรามาจากประเทศไทย ลุงพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า Oh, I love Thailand คุณลุงบอกอยากไปเที่ยวประเทศไทยมาก รู้มาว่าอากาศที่ไทยอุ่นสบายไม่หนาวแถมคุณลุงยังย้ำด้วยว่า I love Thai people (เพราะแกมักจะเจอผู้โดยสารชาวไทยอยู่เสมอ)

คุณลุงบอกว่าคือ Camel แต่มองไปมาคล้ายนกกระจอกเทศชอบกล
ว่าแล้วคุณลุงก็หยิบกระดาษพับรูปสัตว์ต่างๆขึ้นมาแล้วส่งให้บอกว่าเป็น ของฝากจากเจแปน แกบอกว่าตัวเองเป็นคุณครูสอนศิลปะพับกระดาษหรือโอริกามิ และมักจะพับโอริกามิเป็นงานอดิเรก ... ในแท็กซี่ของคุณลุงมีกระดาษพับรูปสัตว์น้อยใหญ่ต่างๆมากมาย (เราได้รูปอูฐน่ารักมาก) เมื่อมาถึงจุดหมายมิตเตอร์แจ้งราคาประมาณ 900กว่าเยนด้วยความประทับใจจึงยื่นแบงค์ 1000เยนให้คุณลุงและบอกไม่ต้องทอน ... นึกเสียดายตอนนั้นเราน่าจะมีอะไรไทยๆติดกระเป๋าไปสักหน่อยจะได้ให้ที่ระลึกตอบแทนคุณลุงบ้าง
                                                                                                                                                              
ใครยังไม่อ่าน  !!เชยมาก!!

ซื้อ JR Pass และนั่ง N'EX จากนาริตะเข้าโตเกียว คลิ๊กจร้า
Suica Card และ Korean Town ในย่านชินโอคุโบ คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (1) คลิ๊กจร้า
ชม Chureito Pagoda และทะเลสาบ Kawaguchiko (2) คลิ๊กจร้า
ชมวิวทะเลสาบ Kawaguchiko และตามหาร้านอร่อย คลิ๊กจร้า
บุฟเฟต์ขาปูยักษ์ ณ Tokyo Station Buffet คลิ๊กจร้า

1 ความคิดเห็น:

  1. ขอชื่นชมกับการนำเสนอรายละเอียดของการเดินทาง ถึงแม้ว่าจะยังไม่พบความยุ่งยากามหัวเรื่องที่บอกว่าไม่ง่าย แต่ก็พบกับปลีกย่อยที่คุณนำเสนอได้ละเอียดชัดเจนแตกต่างจากที่มีเขียนทั่วไป เช่นเทคนิคการใช้ JR Kanto pass และ Suica รวมทั้งรายละเอียดสถานที่ พอดีผมกำลังศึกษาเพื่อเตรียมตัวไปเฉพาะพื้นที่Tokyo และรอบๆในเดือนตุลาคม 59 นี้ ขอบคุณมาก
    สุขสวัสดิ์ สุภามณี อ.พาน จ.เชียงราย

    ตอบลบ